top of page
358556.jpg

หุ้นไทยเข้าภาวะฟองสบู่...“เด็กแนว” แนะตามน้ำ พร้อมค่อยๆ ทยอยลดพอร์ต


เด็กแนว-รณกฤต สารินวงศ์ มองหุ้นไทย/หุ้นโลกแหวกแนว ไม่เป็นไปตามทฤษฎี โดยเฉพาะหุ้นไทย ที่เหวี่ยงขึ้นแรงในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมากว่า 100 จุด เป็นการขึ้นที่ไม่ได้ตามหลักทฤษฎี แต่ก็พร้อมขึ้นตลอด แนะนักลงทุนเล่นตามน้ำถูกต้องแล้ว แต่ควรค่อยๆทยอยลดพอร์ต ด้วยภาพหุ้นที่ขึ้นได้เริ่มเข้าสู่ภาวะ “ฟองสบู่” แล้วโดยหุ้นมีมาร์เก็ตแคปสูงมากกว่าจีดีพีประเทศถึง 13% สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งตามหลักปีไหนหุ้นขึ้นมาร์เก็ตแคปหุ้นสูงกว่าจีดีพีปีต่อไปหุ้นจะลง ย้ำต้องเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวมากกว่าดูภาพรวม

นายรณกฤต สารินวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี ที่นักลงทุนรู้จักกันดีในนามของ “เด็กแนว” ให้ความเห็นถึงแนวโน้มทิศทางหุ้น ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2560 หลังจากที่มีการปรับขึ้นมากกว่า 10 จุดในช่วง 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาแบบหนังคนละม้วนกับสภาพตลาดเมื่อ 7-8 เดือนแรกของปี โดยทะลุผ่าน 1,700 จุดขึ้นมาได้ในที่สุด

ทั้งนี้ นายรณกฤต เคยกล่าวกับ”ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่า หุ้นไทยที่ปรับตัวทรงๆทรุดๆมาตลอดหลายเดือนจะปรับขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 ซึ่งผลปรากฏว่าเป็นไปตามการประมาณการเป๊ะ เพราะหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นแบบไม่ฟังอีหล้าค่าอีลม กว่า 100 จุดในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ แม้ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาที่น่าจะทำให้ให้หุ้นไทยขึ้นได้มากมายขนาดนั้น นอกเสียจากผลของการมีเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการที่หุ้นปรับขึ้นในช่วง 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นการขึ้นที่สูงขึ้นมาพอสมควรแล้ว

“ค่าเฉลี่ยไม่ดีเท่าไร ในช่วง 7-8 เดือนแรกของปี ถือว่าค่อนข้างต่ำ วอลุ่มเทรดแค่ 2-3 หมื่นล้านบาทต่อวัน หุ้นไทยเพิ่งมาดีเอาช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี้เอง ขณะที่ต้องยอมรับว่าปัจจัยหนุนไม่ได้มีอะไรมาก ในเชิงของปัจจัยพื้นฐาน ในแง่ของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ยังไม่ดีเท่าไร

ปัจจัยร้ายๆ มาตั้งแต่ต้นปี ประธานาธิบดีคนใหม่อเมริกาที่คนกังวลกันทั่วโลก เรื่องเบร็กซิต เกาหลีเหนือ กลับถูกลืม ตลาดหุ้นทั่วโลกทำนิวไฮหมดเลย ...แสดงว่ามันไม่ใช่แล้ว...เราจะพูดถึงทฤษฎีของปัจจัยลบเข้ามาในตลาดหุ้นในปีนี้ไม่ได้ มันล้มเหลวหมดเลย เพราะมันกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในตลาดเงินตลาดทุนมากกว่า เขาต้องการหาผลตอบแทนจากเม็ดเงิน ทฤษฎีปีนี้ใช้ไม่ได้เลย เป็นแค่การเดิมพันกับความเสี่ยงอย่างเดียว

ทุกคนเริ่มกลับตัวเมื่อ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่เคยกังวลกันมา 7-8 เดือน เท่ากับนี่คือไปตามกระแส แฟชั่น เป็นเรื่องเม็ดเงินในโลกมันจะย้ายไปไหนเท่านั้น

ถามว่าตอนนี้ผมมองปัจจัยบวกอะไร... ก็ยังกังวลอยู่...แม้ว่าเราจะตามน้ำไปกับมัน ปล่อยให้ไหลไปตามตลาด”

ในสถานการณ์แบบนี้ นายรณกฤต ให้คำแนะนำว่า ต้องลงทุนด้วยกลยุทธ์ “Let Profit Run” และเริ่มทยอยขายเมือหุ้นกลับหัว รวมทั้งต้องเลือกเล่นเป็นรายตัว และคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มีต้นทุนที่สูงต้องปรับตัว ลงทุนในหุ้นไม้ 3 “หุ้นต่ำ 10” ไม่ใช่เล่นหุ้นแบงก์ พลังงาน หุ้นฝรั่ง

“ภาวะนี้ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพราะฟันด์โฟลว์มันมา เล่นตามน้ำไปเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว แล้วดูจุดคัทเอา ถ้าลงมา 1,670 คัท 1 สเตป 1,660 คัทอีก 1 สเตป แต่ถ้าหลุด 1,650 โอเคพิจารณาว่ามันลงแรงแล้ว แต่ถ้ามันไม่ลงก็ปล่อยให้กำไรมันวิ่งไป ถ้าหุ้นยังไม่หมดรอบอย่าไปแช่งมัน ไม่อย่างนั้นจะเล่นผิดทาง

ส่วนตัวจะเลือกตัวกลางๆ ประมาณกว่า 10 บาท คือถ้าเข้ามาในตลาดก่อนหน้านี้ ช่วงหุ้นขึ้นใหม่ๆ ก็ต้องเล่นหุ้นใหญ่ แต่มาวันนี้หุ้นขึ้นมาแล้วต้องเล่นหุ้นใหญ่น้อยหน่อยถือสั้นหน่อย ต้องหันมาจับหุ้นขนาดกลาง จับแถวสาม นักลงทุนที่มีต้นทุนสูงหนึ่งสัปดาห์ ต้องเล่นสั้นหน่อย ส่วนคนที่มีต้นทุนลึกกว่า 3 สัปดาห์ไม่เป็นไรถือได้ แล้วคัทเมื่อตลาดปรับฐาน”

ทั้งนี้ในกรอบขาขึ้น หากหุ้นจะขึ้นไปต่อ นายรณกฤตมองว่า ตามหลักประเมินมูลค่าพีอีของตลาดขึ้นมาแล้วจะเห็นทาร์เก็ต 1,740 และปีหน้าจะขึ้นไปได้เกือบ 1,800 จุด

อย่างไรก็ตาม ในจังหวะนี้ นายรณกฤต ฝากเตือนนักลงทุนว่า ให้ลงทุนด้วยความระมัดระวัง เพราะ นักลงทุนไม่กลัวคำว่า โอเวอร์บร็อท อะไรทั้งสิ้น ขณะที่เขามองว่า ตลาดหุ้นเริ่มมีภาวะ “ฟองสบู่” เกิดขึ้นแล้ว

“ทางทฤษฎี ผมว่าตลาดตอนนี้ ฟองสบู่ ส่วนตัว หากผมเป็นนักเล่นหุ้น เป็นกองทุนหรือเป็นอะไรก็ตาม จะทยอยลดน้ำหนักการลงทุนไปเรื่อยๆ คือมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นสูงถึง 16.5 ล้านล้านบาท มากกว่าจีดีพี (เท่ากับ 14.4 ล้านล้านบาท) มากกว่า 2 ล้านล้านบาท หรือ มากกว่าจีดีพี 13% ซึ่งไม่เคยเห็นมากเท่านี้มาก่อน เคยมากกว่าเต็มที่ 5-7%

ทีนี้ที่ผ่านมา ปีไหนก็ตามที่มาร์เก็ตแคปมากกว่าจีดีพี ประมาณ 5-7% ปีถัดมาหุ้นจะลง เป็นอย่างนี้มา 3 ครั้งแล้ว ลงมาเหลือต่ำกว่าจีดีพี 10% หมายความว่า SET ขึ้นสูง ปีต่อไปมันจะต่ำลงมา

ถ้าดูตามทฤษฎีนี้ ปัจจุบันนี้มาร์เก็ตแคปมากกว่าจีดีพี 13% ถ้าเกิดมันปรับลงมาแค่เท่ากับจีดีพี เท่ากับมันหายไป 2 ล้านล้าน หรือประมาณ 200 หรือ 300 จุด ดังนั้นปีหน้าช่วงไตรมาสสอง ดัชนีอาจจะเหลือประมาณ 1,400 ก็ได้ ดังนั้นถ้าผมเป็นกองทุนหรือฝรั่ง ผมก็จะลดพอร์ตไปเรื่อยๆ ช่วงนี้”

42 views
bottom of page