top of page
image.png

เตือนรับมือเงินดอลล์ ส่งออก สาหัส! ....คนไทยเจอศึกหนัก


ปรมาจารย์เศรษฐศาสตร์ไทยออกโรงเตือนสถานการณ์ “ส่งออกไทย” อันตรายสุดๆ ในประวัติการณ์ส่งออกเมืองไทยไม่เคยเลวร้าย ติดลบติดต่อกันหลายปี ผลจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ามาก ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งซ้ำเติมสถานการณ์แข่งขัน “สินค้าไทย” สู้กับคู่แข่งหลักอย่างจีนไม่ไหว ฟันธง! ปีหน้าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสุดๆ ซ้ำเติมส่งออกไทย/คนไทยพึ่งรายได้จากการส่งออก เหนื่อยยากลำบากหนักกว่าเก่า

ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” จัดขึ้นโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่าขณะนี้กำลังจับตามองการประชุมธนาคารกลางหลายชาติ ทั้งญี่ปุ่น อังกฤษ หรือ สหรัฐอเมริกา โดยสหรัฐอเมริกาเป็นจุดสำคัญในการประชุมเดือนกันยายนมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ของเฟด หรือคิดว่าช่วงเดือนกันยายนไปจนถึงปลายปีน่าจะมีการปรับขึ้นได้ครั้งหนึ่ง

ล่าสุดทาง “เฟด” ผู้นำคือนางเจเน็ต เยลเลน และ นายสแตนเลย์ ฟิชเชอร์ ส่งสัญญาณทำนองว่าจะปรับขึ้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะ 2 ครั้งด้วยซ้ำไป เป็นการส่งสัญญาณเผื่อไว้เพื่อทำใจได้ แต่หลังจากที่พูดไปแล้วตัวเลขล่าสุดที่ออกมาเกี่ยวกับการจ้างงาน การว่างงาน 4.9% การจ้างงานทั่วไป หรือเรียกว่า Non-Farm Payrolls มีประมาณ 151,000 ตำแหน่ง เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าตลาดประมาณการไว้ ส่วนใหญ่ประมาณการสูงถึง 180,000 ตำแหน่ง

ตัวเลขที่ออกมาทำให้ความรู้สึกของคนที่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา มองว่าภาพ Macro ของสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ได้ดีถึงขั้นแข็งแรง และตัวเลขที่ออกมาสะท้อนถึง “เฟด” มีโอกาสตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยมีไม่มากอย่างที่มองไว้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านั้นก็คงมองไปถึงเดือนธันวาคม จากตรงนี้ก็มีผลทำให้ราคาหุ้นขยับขึ้นได้

“ถ้ามองกันจริงๆ คิดว่าเดือนกันยายนเป็นเดือนที่เฟดมีความรู้สึกว่าเป็นโอกาสสำคัญเหมือนกันถ้าหากต้องตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย เพราะว่าถ้าไปตัดสินใจขึ้นในเดือนพฤศจิกายนจะมีผลต่อการเลือกตั้ง ถ้าปรับขึ้นดอกเบี้ยในตอนนั้นราคาหุ้นก็คงรูดลงพอสมควร และจะมีผลทำให้รัฐบาลหวาดเสียวในการแพ้เลือกตั้งหรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนยอมรับว่าต้องดูการเมือง และในแง่จิตวิทยาคนเหล่านี้มองพอสมควรเพราะว่าส่วนใหญ่ก็มาจากการเมืองเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตลาดก็มองปัจจัยทางการเมือง การเลือกตั้ง มาเกี่ยวข้องด้วยทำให้โอกาสที่ไม่ขึ้นในเดือนกันยายนก็จะไปขึ้นในเดือนธันวาคม” ดร.ตีรณตั้งข้อสังเกต

“แต่ก็ยังไม่จบแค่ตรงนี้เพราะตัวเลขการจ้างงานเป็นเพียงตัวเลขหนึ่งเท่านั้น ยังมีเวลาอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่จะเปลี่ยนใจ ถ้าตัวเลขเกิดดีขึ้นมาทางเฟดคงกังวลเหมือนกันเพราะว่าไม่อยากขึ้นในช่วงปลายปีโดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน ถ้าเกิดแรงกดดันไปขึ้นช่วงเดือนพฤศจิกายนก็จะมีผลกระทบ แต่ถ้าไม่ขึ้นก็จะถูกโจมตีว่าเล่นการเมือง ซึ่งก็จะมีผลเสียหายต่อเฟดเหมือนกัน แต่ดูแนวโน้มโอกาสที่จะขึ้นคงขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งอย่างที่ตีความจากนายสแตนเลย์ ฟิชเชอร์ อย่างมากก็ครั้งเดียวในเดือนธันวาคมโอกาสก็จะอยู่ตรงนั้น”

ดร.ตีรณคาดว่าถ้ามีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นการปรับขึ้นเพราะว่าตัวเลขเศรษฐกิจดีจริง ผลกระทบก็คงไม่มากนักต่อสหรัฐอเมริกา ราคาหุ้นสหรัฐอเมริกาก็คงขยับไปได้ เพราะว่ามีกิจการส่วนมากจาก Earning ที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นตรงนี้ไม่น่ากังวลมาก แต่ก็จะมีผลกระทบบ้างเหมือนกันจากต้นทุนทางการเงินขยับขึ้นมาเล็กน้อยก็จริง

“แต่สำหรับโลกในส่วนนอกจากสหรัฐอเมริกาก็จะปรับตัวพอสมควร ถ้าขึ้นอย่างไรทุนก็จะขยับไปบ้าง ถ้าเกิดตลาดมองว่าถ้ามีการปรับขึ้นในเดือนกันยายนหรือธันวาคม 0.25% ก็จะเป็นแบบนี้ไปเกือบปีถ้ามองแบบนั้นผลกระทบก็จะไม่แรงมากนัก

สำหรับผลกระทบต่อค่าเงินบาทนั้น ดร.ตีรณกล่าวว่าค่าเงินบาทจะอ่อนเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ไม่มากแล้ว คงจะอยู่ที่ 34 หรือ 34.5 บาทต่อดอลลาร์ประมาณนี้ หรืออาจจะทะลุลงไปแข็งกว่า 34 บาทก็เป็นได้ในบางช่วง พอปลายปีก็น่าจะอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ ถึงแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ของเฟด ขณะที่ของตลาดไทยหรือนักลงทุนไทยต้องปรับการมองค่าเงินบาทใหม่ ที่ผ่านมามองว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลง 36-37 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปลายปี คิดว่าคงไม่อ่อนค่าแล้ว สามารถเกาะกับค่าเงินดอลลาร์ได้จนถึงปลายปี

แต่ว่าปีหน้าต้องดูอีกทีเพราะว่ากำลังของเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาคิดว่ายังอ่อนแออยู่ คิดว่าเศรษฐกิจคงฟื้นยากในปีต่อไปด้วย โอกาสที่ค่าเงินบาทหรือค่าเงินสกุลในประเทศที่กำลังพัฒนาจะแข็งค่าเมื่อเทียบค่าเงินดอลลาร์ในปีหน้าคงแทบจะไม่มีเลย ในปีหน้าจะเห็นค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นมากกว่าที่จะทรงตัวแบบทุกวันนี้ โดยปี 2560 จะเป็นปีที่จะสร้างแรงกดดันเรื่อยๆ คือ ปีนี้เป็นปีพักร้อน หมายความว่า ที่ผ่านมาดอลลาร์ปรับขึ้นมา แต่ปีนี้มีการพักไม่แข็งขึ้นมากนัก ก็อาจอยู่ในระดับแข็งกว่าปีก่อนๆ แต่ในปีหน้าก็อาจจะขยับขึ้นใหม่ และอาจจะเป็นแบบนี้ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการสร้างแรงกดดันต่อตลาดทุนไหลออกของประเทศกำลังพัฒนา ก็เป็นสิ่งที่ต้องเผื่อไว้และการลงทุนต้องกระจายความเสี่ยงดีๆ” ดร.ตีรณกล่าว

“แน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบต่อการส่งออก เพราะว่าค่าเงินบาทไทยค่อนข้างแข็งเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และไทยก็เกาะกับเงินดอลลาร์มากไป ธนาคารแห่งประเทศไทยก็กล้าๆกลัวๆ ที่จะทำอะไร ก็จะมีปัญหาแบบนี้ไปอีกนานในเรื่องค่าเงิน ขณะเดียวกันสิ่งที่เป็นอุปสรรคแรงของภาคการส่งออก คือ ตลาดไม่มีกำลังซื้อ กำลังซื้อในปีที่แล้วลดลง ตัวเลขการส่งออกของไทยเมื่อปลายปีที่แล้วทางภาครัฐคาดคะเนพลาดเป้าไว้มากเลย พลาดเป้าอย่างไม่น่าเชื่อ คือ มองไว้ว่าจะโตประมาณ 3-5% แต่ตอนนี้โอกาสที่จะติดลบประมาณ 2% ทั้งปีค่อนข้างจะมีสูง จากที่ผมประมาณไว้เมื่อปลายปีที่แล้วจะติดลบประมาณ 3-4% และก็ไม่มีการปรับประมาณการตามตัวเลขที่แกว่งตัว ในปีนี้คิดว่าติดลบประมาณ 3-4%

ดร.ตีรณกล่าวเตือนคนประมาณการเศรษฐกิจมักจะมองว่าฐานต่ำเพื่อใช้กำหนดตัวเลขดีต่อไป เหมือนที่กับรัฐบาลมองว่าปีนี้ส่งออกน่าจะดีกว่าปีที่แล้วเพราะมีตัวเลขติดลบที่เยอะ ปีหน้าน่าจะคิดในทำนองเดียวกันนี้ แต่คิดว่าไม่น่ามองแบบนั้นเพราะตัวเลขการส่งออกไม่ขยับแรงขนาดนั้น โอกาสที่จะติดลบในปีหน้ายังมีอยู่ และจะเห็นภาพชัดขึ้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นในปีหน้า เวลาที่คำนวณเป็นเงินดอลลาร์จะทำให้ตัวเลขมีจำนวนน้อยลง เพราะฉะนั้นมาตรฐานในการมองตัวเลขการส่งออกซึ่งจะมองในรูปดอลลาร์สหรัฐ ของไทยก็จะติดลบในปีต่อไปค่อนข้างสูง

“และจะเป็นการติดลบข้ามปีต่อเนื่องซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในไทยมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ อย่างมากไทยก็จะติดลบในปีเดียว แต่ในรอบนี้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ามาก ขณะที่สินค้าไทยขาดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศหลักอย่างจีน จะเป็นตัวที่ทำให้การฟื้นตัวของการส่งออกของไทยยากมาก ตัวนี้จะทำให้ประชาชนเหนื่อยเพราะรายได้จากการพึ่งพาอาศัยการส่งออกหนักขึ้นเรื่อยๆ การบริโภคของไทยก็ชะลอด้วย” ดร.ตีรณกล่าวด้วยความเป็นห่วง

“คิดว่า กนง.ต้องมองระยะยาว แต่ว่าระยะยาว กนง.จะมองในเรื่องหนี้ครัวเรือน ในส่วนนี้คงมองตัวนี้อย่างเดียวไม่ได้ อย่างค่าเงินบาทตอนนี้แข็งค่าไป ถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทโดยตัวของมันเองก็ต้องอาศัยอัตราดอกเบี้ย แต่การใช้มาตรการดอกเบี้ยเป็นมาตรการท้ายๆ ถ้าจะปรับค่าเงินบาทให้เข้าสู่ภาวะที่เหมาะสม ขณะนี้ไทยพยายามเก็บทุนสำรองมากเกินเหตุ แต่ในเรื่องดอกเบี้ยก็พอรับได้เพราะมีอัตรา 1.5% ยังถือว่าไม่สูงมาก ลงมาอย่างมากก็ประมาณหนึ่งก็ยังพอรับได้ โดยส่วนตัวก็จะคิดจังหวะในการลดอัตราดอกเบี้ยถ้าหากว่าค่าเงินบาทไม่สามารถที่จะไปดูแลได้ ก็อาจจะปรับลงได้ 0.25% ในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า”

 
bottom of page