
คาดการณ์แนวโน้มหุ้นไทยเดือนกันยายน เดือนที่โลกการลงทุนยกความสำคัญให้กับ การประชุมเฟด ที่อเมริกา ในวันที่ 20-21 กันยายน ซึ่งเป็นการประชุม 1 ใน 3 ครั้งของการประชุมที่จะจัดขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2559 และการประชุมเรื่องของน้ำมันตอนปลายเดือนเป็นปัจจัยสำคัญ ก็ยังคงประเมินทิศทางว่าหุ้นจะปรับขึ้นได้แม้ว่าจะมีการขายออกมาหนักในต้นเดือนกันยายน จนทำให้ SET เสียทรงไปมากพอสมควร โดยประเมิน SET Index ในกรอบ 1,500-1,570
ตลาดหุ้นไทยบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปพอสมควร แม้จะมีคนกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นมาสูงอาจจะต้องถึงเวลาพักฐานบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่การเทขายหุ้นอย่างหนักเมื่อในอาทิตย์แรกของเดือนกันยายนนี้ก็เป็นการขายที่มีแรงขายผิดปกติเอามากๆ จนทำให้การฟอร์มตัวของตลาด ”เสียอาการ” หรือจะเรียกว่า “เสียทรง” ไปพอสมควรทีเดียว และทำให้กลายเป็นแรงดึงตลาดที่ก่อนนี้ยังเชื่อมั่นว่าจะเดินหน้าต่อไป เหมือนถูก “ดึงรั้ง” เอาไว้ให้การไปต่อไปหนืดๆอืดๆ
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ จากค่ายต่างๆ ยังคงมีมุมมองที่บวกว่า หุ้นไทยเดือนกันยายน เป็นเดือนที่สามารถเดินหน้าก้าว ไต่ระดับขึ้นไปได้ โดยมีกรอบ 1,500-1,570 จุด
ทั้งนี้จากการทำสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนประจำเดือนกันยายน ของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น เรียกว่า ดัชนีอยู่ในระดับร้อนแรง (Bullish) โดยมีปัจจัยจากการไหลของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ เป็นตัวดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน แม้มีความกังวลเรื่องของสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจส่งผลต่อกระแสเงินทุนโดยรวมของตลาดเกิดใหม่
FETCO รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นใน เดือนตุลาคม 2559 อยู่ที่ 140.68 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” หรือ Bullish (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 0 - 200) ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 9.22% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 128.81
ส่วน ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนทุกกลุ่มอยู่ในระดับร้อนแรง โดยดัชนีนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 18.43% ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลุ่มอื่นปรับตัวลดลงเล็กน้อย
หมวดอุตสาหกรรมที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าออกของเงินทุน ในขณะที่ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ด้วยเม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ทำให้มีการเติบโตอย่างโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ความไม่แน่นอนภายหลังการลงประชามติ (Brexit) ปัญหาทางการเงินในยุโรป ซึ่งส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนที่จะผันผวนมากขึ้น ตลอดจนผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐ แต่การส่งออกยังคงหดตัวตามเศรษฐกิจเอเชียที่ชะลอลงมากกว่าคาด
ดร. เบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้านักวิเคราะห์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองว่าปัจจัยสำคัญในช่วงที่เหลือของปี คือ ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนและการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตอนปลายปี ขณะที่ธนาคารกลางหลักอื่นๆ รวมถึง ธปท. ยังจะต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจต่อ สำหรับในปี 2560 แม้เศรษฐกิจยุโรปมีประเด็นความไม่แน่นอนด้านการเมืองในอียูเข้ามาเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะยังฟื้นตัวต่อเนื่อง และเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเครื่องจักรสำคัญของไทยยังคงเป็นการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐ ด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีโอกาสฟื้นตัวตามความเชื่อมั่น หลังสถานการณ์เมืองมีเสถียรภาพและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปี 2560 ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นเป็นร้อยละ 1.75 ในช่วงปลายปี 2560 โดยเงินบาทอาจยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อในปีหน้าหากเฟดไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ตามที่สื่อความไว้ก่อนหน้านี้
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ให้ความเห็นว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนกันยายนนี้การประชุม FOMC ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20-21 ก.ย. จะเป็นปัจจัยหลักต่อตลาดหุ้นไทยทั้งก่อนและหลังการประชุมเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการประชุมดังกล่าวจะเคลื่อนไหวรับแนวโน้มข่าวอยู่ตลอดจนถึงวันการประชุม หุ้นไทยจะมีการเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบได้
แต่หากนักลงทุนไม่เชื่อว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไปต่อได้ และหลังจากประชุม FOMC แล้วหากมีการขึ้นดอกเบี้ยซึ่งคาดว่าจะขึ้นที่ 0.25% จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยในเรื่องเงินทุนไหลออก นักลงทุนต้องปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับภาวะการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามการที่สหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ยแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวดีขึ้นถือว่าเป็นข่าวที่ดีเช่นกัน แต่หากยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ตลาดก็ยังมีทิศทางไปต่อได้และก็กลับมารับข่าวจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งๆต่อไปใหม่
"ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นไทยกว่า 1 แสนล้านบาทถือว่าค่อนข้างมาก ในเดือน กันยายน นี้น่าจะมีเงินไหลเข้าน้อยลง และหาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกไปจากตลาดหุ้นไทย ซึ่งนั้นจะส่งผลให้ระดับ P/E หุ้นไทยลดลง"
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยที่น่าสนใจคือเรื่องกำไรของตลาดในไตรมาส 3 ที่ บล.KTBST ได้ทำรายงานและประเมินข้อมูลเบื้องต้นว่า กลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน ปิโตเคมี จะมีผลกำไรในตรามาสที่ 3 ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้กำไรโดยรวมของตลาดปรับตัวลงเหลือประมาณ2.3 แสนล้านบาท จากไตรมาส 2 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท โดยกลุ่มธนาคารที่มีแนวโน้มกำไรลดลง
เนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้สูญ และในกลุ่มพลังงานที่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันที่ต่ำกว่าไตรมาสที่สอง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฐานกำไรของตลาด ไตรมาสที่ 3 ของปีก่อนที่ค่อนข้างต่ำ จะเป็นผลให้ค่าP/E ของตลาด เมื่อใช้กำไรไตรมาสที่ 3 จะลดลงจากระดับที่ 22 เท่าลงมาอยู่ที่ 17 เท่า และมองกรอบดัชนีหุ้นไทยในเดือน กันยายน จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบที่ระดับ 1,530-1,580 จุด แต่แนวโน้มทั้งปี บล.KTBST ยังมองดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปถึงระดับ 1,600 จุดได้ จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว หากระดับ P/E ลดลงมาอยู่ที่ 17เท่า จึงถือว่า “ถูก” เมื่อเทียบกับระดับ 22 เท่าในปัจจุบัน
“สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือน กันยายน นั้น บล.KTBST มองว่าตลาดยังมีความผันผวนทั้งก่อนและหลังประชุม FOMCและปัจจัยบวกต่อตลาดเริ่มมีน้อยลง จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุน เพื่อรอจังหวะเข้าซื้อในรอบใหม่รวมถึงจับตาดูการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ โดยหุ้นในกลุ่มที่แนะนำคือ กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานต่อเนื่องและกลุ่มที่มีความปลอดภัยสูงไม่เหวี่ยงตามตลาด หุ้นเด่นได้แก่ ERW FORTH JMART MBAX”
นอกจากนี้ในปลายเดือน ก.ย. จะมีการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 26-28 ก.ย. เพื่อพิจารณาในเรื่องกำลังการผลิต ซึ่ง ณ ปัจจุบันตลาดคาดว่าจะสามารถตกลงกันได้ในเรื่องการควบคุมปริมาณน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ราคาน้ำมันอาจปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลดีต่อประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันมองราคาน้ำมัน ในเดือน ก.ย. เคลื่อนไหวในกรอบ 40-50 เหรียญฯ
นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ย.59 เริ่มชะลอตัวลง หลังจากประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีโอกาสปรับขึ้นในการประชุม FOMC วันที่ 20 – 21 ก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจาก Bond Yield Spread พันธบัตรอายุ 2 ปี ระหว่างไทยกับสหรัฐยังคงกว้าง 0.75% หากทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐยังไม่มีการปรับขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้น จะยังไม่กระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนไทยมากนัก ทั้งนี้ ประเมินดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวในกรอบ 1,510 – 1,560 จุด (Forwad P/E16.0 – 16.5 เท่า)
“ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การประชุม FOMC ในเดือน กันยานี้ ซึ่งโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 34% จากภาวะเงินเฟ้อสหรัฐที่เริ่มปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ระดับ 2% ซึ่งประเมินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในครั้งนี้ ยังไม่เป็นปัจจัยลบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าตลาดเงินตลาดทุนไทย เนื่องจาก Yield Spread ระหว่างพันธบัตรอายุ 2 ปีของไทย และสหรัฐยังคงกว้างที่ระดับ 0.75% อย่างไรก็ตามจากประมาณการณ์ IMF ที่คาดเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะเติบโตที่ 2.20% และปีหน้าที่ 2.50% ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่นยังชะลอตัว จึงประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐน่าจะขยับขึ้นอย่างช้า” นายอภิชัยกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ในช่วงระหว่างรอประเมินแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ ว่า แนะนำ “ซื้อ” ลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น CK- ITD- STEC- UNIQ รับประเด็นบวกการประมูลรถไฟรางคู่สายประจวบ–ชุมพร มูลค่า 1.7 หมื่น ลบ.และการเร่งประมูลอีก 3 สาย คือ มาบกะเบา-จิระ,นครปฐม-หัวหิน และลพบุรี – ปากน้ำโพ รวมวงเงินทั้งหมด 7.4 หมื่นล้านบาท กลุ่มธนาคาร KBANK- KTB -SCB จากคาดการณ์สินเชื่อน่าจะเริ่มฟื้นตัวประกอบกับ Yield Spread มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น กลุ่มท่องเที่ยว BA- ERW รับช่วงไฮซีซั่นในช่วง Q3 – Q4