top of page
image.png

โปรแกรมเทรดกดดัชนี พื้นฐานหนุนตลาด


การดิ่งลงของดัชนีตลาดเมื่อต้นเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา นับดูแล้วแค่ 8 วัน ทำการดัชนีตลาดก็ดิ่งลงมากถึง 137.57 จุดจากสิ้นเดือนสิงหาคม หรือคิดเป็นการลดลงของดัชนี 8.88% ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกพากันเทขายหุ้นตามโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เป็น Panic Sell ที่นานๆ จะได้พบเห็นกันในตลาด ก็บอกได้เลยว่าเป็นการเทขายหุ้นของนักลงทุนไทยโดยตรง ซึ่งต้องพูดว่าเป็นการขายของนักลงทุนรายใหญ่ในไทย คือจากกองทุนเป็นหลัก แล้วตามมาด้วยการขายจากพอร์ตโบรกเกอร์

หากถามหาเหตุผลในการขายคงจะได้ยินได้ฟังจากการรายงานของสื่อบางแห่ง ที่อ้างถึงความกลัวว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ ก็ได้บอกกันมาหลายครั้งแล้วว่า กรณีเฟดไม่ได้มีเหตุผลที่มากพอจะทำให้ต้องรีบเทขายหุ้นหนีตายกัน และข้ออ้างที่ว่าเงินจะไหลออกจากตลาด เพราะเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็เคยบอกย้ำกันมาหลายครั้งแล้วว่า ไม่น่าจะเป็นเหตุผลเลย เนื่องจากดอกเบี้ยสหรัฐอยู่แค่ระดับ 0.25-0.50% แม้จะปรับขึ้น 0.25% อีก ก็จะได้แค่ 0.50-0.75% เท่านั้น

ในขณะที่ไทยดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ระดับ 1.50% มากกว่าสหรัฐเท่าตัว จึงไม่มีเหตุผลที่จะดึงเงินกลับออกไปเลย ยิ่งไปดูดอกเบี้ยในสถาบันการเงินในไทยจะพบว่าอย่างน้อยก็ยังจ่าย 2-3% แล้วดอกเบี้ยเฟดจะมีความน่าสนใจอย่างไร ดูจะเป็นข้ออ้างเพื่อกระตุ้นต่อมอารมณ์ของนักเก็งกำไรมากกว่า แต่จุดอ่อนของนักลงทุนไทยคือนิยมเล่นตามกระแส เมื่อเขาสร้างกระแสก็เลยเล่นตามกระแส ผลจึงออกมาอย่างที่เห็นๆ กัน แต่ที่ดูจะมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากจริงๆ น่าจะมาจากการที่พอร์ตต่างๆ เทรดด้วยระบบอัตโนมัติมากกว่า เพราะเมื่อมีการลีดนำกดดัชนีให้ดิ่งลงแรงเข้าลงสู่ระดับที่พอร์ตเทรดระบบอัตโนมัติจะต้องขาย ก็จะมีแรงขายเสริมตามมาทันที ทำให้บางช่วงจะพบว่าตลาดจะมีการขายออกมามากกว่าปกติ โดยไม่ต้องคิด แต่เป็นการขายตามโบรกเกอร์ที่ตั้งขายเอาไว้นั่นเอง ดังนั้น เมื่อดัชนีอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง เทรดอัตโนมัติก็จะทยอยขายอย่างต่อเนื่องไปด้วย ส่วนการอ้างถึงแนวรับก็คงไม่มีความหมาย เพราะมีการสอนกันมาแล้วว่าหากหลุดแนวรับก็จะกลายเป็นแนวต้านทันที ทำให้การตั้งขายหลังแนวรับจะมีผลในทางปฏิบัติโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเกิดจากความกลัวของนักลงทุนแต่อย่างใด เครื่องคอมพิวเตอร์จะสั่งและทำงานเองอัตโนมัติ นับเป็นจุดอ่อนและจุดบอดของตลาดในปัจจุบัน

 
bottom of page