
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ แห่ง แอพเพิล เวลธ์ ประกาศหลังพิงฝาต่อสู้ทุกชั้นศาลอย่างถึงที่สึด เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ยืนยันบริหารงานมีการกำกับดูแลงานอย่างมีระบบ ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ และตั้งมั่นบนหลักธรรมาภิบาล หลัง ก.ล.ต.สั่งลงโทษฐานแช่แข็ง 2 ปี ฐานละเลยการตรวจสอบดูแลระบบงานในการทำความรู้จักลูกค้าและตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ ไม่ยอมรับ โทษจาก สำนักงาน ก.ล.ต. ที่สั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนเป็นเวลา 2 ปี รวมทั้งเสนอต่อคณะกรรมการเปรียบเทียบเพื่อพิจารณาเปรียบเทียบความผิดต่อไปอีกด้วย ทั้งนี้เนื่องสำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า ดร.ประสิทธิ์ละเลยการตรวจสอบดูแลระบบงานในการทำความรู้จักลูกค้าและตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า และการกำกับดูแลการทำธุรกรรมของลูกค้า ซึ่งเป็นระบบงานหลักที่สำคัญและมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนโดยรวม
ทั้งนี้ ดร.ประสิทธิ์ ได้จัดตั้งโต๊ะแถลงข่าว เพื่อชี้แจงความบริสุทธิ์ทันทีที่ ก.ล.ต.มีคำสั่งออกมา พร้อมกับยืนยันว่า เขาทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทุกอย่าง และทำเหมือนกับที่ทุกโบรกเกอร์ทำเหมือนๆ กัน จึงพร้อมที่จะต้อสู้อย่างถึงที่สุดทุกชั้นศาล เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง
โดยเมื่อวันอังคารที่ 13 กันยายน 2559 ก.ล.ต.ได้มีประกาศระบุว่า ก.ล.ต. พบการกระทำผิดจากการเข้าตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ ตามแผนงานตรวจสอบตามปกติ (routine inspection) โดยพบความบกพร่องในระบบงานการทำความรู้จักลูกค้าและตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Know Your Customer / Customer Due Diligence : KYC/CDD) และการกำกับดูแลการทำธุรกรรมของลูกค้าที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจะระบุตัวตนหรือผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงของลูกค้า รวมถึงยังไม่สามารถป้องกันการกระทำที่อาจไม่เหมาะสมของลูกค้าได้ และหากลูกค้าดังกล่าวมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย บริษัทอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกพิจารณาได้ว่ามีส่วนสนับสนุนหรือมีส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าวของลูกค้า
“นายประสิทธิ์ มีส่วนในการกระทำผิดของบริษัทและละเลยการตรวจสอบดูแลตามสมควร (fail to supervise) โดยเป็นผู้อนุมัติการเปิดบัญชีและเพิ่มวงเงินให้กับลูกค้าหลายราย ทั้งที่ลูกค้าดังกล่าวมีเอกสารทางการเงินไม่ครบถ้วน ข้อมูลไม่สอดคล้องกับมูลค่าธุรกรรมของลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญ และไม่เพียงพอที่จะรู้ข้อเท็จจริงของลูกค้า
นอกจากนี้ นายประสิทธิ์ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงินของบริษัท มิได้สั่งการให้มีการกระทำการใดเพิ่มเติม เมื่อพบว่าลูกค้ามีการทำธุรกรรมที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพทางการเงินอย่างมีสาระสำคัญหรือพบลูกค้าทำรายการที่โดยปกติแล้วต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงลึกกับลูกค้า แต่บริษัทภายใต้การดูแลของนายประสิทธ์ ไม่ได้มีการสั่งการให้ต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงลึกดังกล่าว รวมถึงมีรายการของลูกค้าที่มีลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับระบบงาน KYC/CDD ซึ่งเป็นระบบงานหลักที่สำคัญ และมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนโดยรวม โดยได้สื่อสารกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย หน่วยงาน Compliance และบริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่งอย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์
ก.ล.ต. เคยพบความผิดในลักษณะนี้และได้ดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งสั่งการให้บริษัทระมัดระวังและแก้ไขให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบปี 2557 มาแล้ว
การที่บริษัทกระทำผิดดังกล่าว เข้าข่ายกระทำผิดมาตรา 113 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535[1] โดยนายประสิทธิ์ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัท มีส่วนในการกระทำผิดของบริษัทและละเลยการตรวจสอบดูแลตามสมควร จึงมีความผิดตามมาตรา 283 แห่ง พ.ร.บ. เดียวกัน ก.ล.ต. จะเสนอการกระทำผิดต่อคณะกรรมการเปรียบเทียบเพื่อพิจารณาเปรียบเทียบความผิด ซึ่งหากนายประสิทธิ์ไม่ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ จะดำเนินการกล่าวโทษต่อไป”
ก.ล.ต. ระบุว่า ดร.ประสิทธิ์ยังมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทลธ. 8/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ก.ล.ต. จึงสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนของนายประสิทธิ์เป็นเวลา 2 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2559 โดยในช่วงดังกล่าว นายประสิทธิ์จะไม่สามารถปฏิบัติงานเกี่ยวกับการบริหารงานหรือการเป็นที่ปรึกษาของบริษัท และการปฏิบัติงานอื่นที่อยู่ในขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน
นางทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ก.ล.ต. คาดหวังให้ผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ มีการกำกับดูแลกิจการตามแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย ก.ล.ต. เห็นว่า การมีระบบการทำ KYC/CDD ที่ดี จะช่วยลดโอกาสในการกระทำที่ไม่เหมาะสม อันอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงแก่ลูกค้าหรือตัวบริษัทหลักทรัพย์เอง รวมถึงกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนโดยรวม”
ด้าน ดร.ประสิทธิ์ เปิดเผยว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานและเอกสารเพื่อเตรียมทำหนังสือยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะขอ โดยเป็นการใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมและเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง
“ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีที่ผมทำงานในวงการหลักทรัพย์ ไม่เคยสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับลูกค้า และตลอดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่เมื่อมีคำแนะนำจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในทุกเรื่องก็ดำเนินการในทันที
สำหรับประเด็นสำคัญที่ผมโดนกล่าวหา เรื่องการอนุมัติวงเงินไม่เหมาะสม และละเลยไม่กำกับดูแลเรื่อง KYC ผมมั่นใจว่าผมทำงานอยู่บนระบบระเบียบที่บริษัทกำหนด ภายใต้หลักเกณฑ์ของสมาคมฯ และหน่วยงานการทางที่กำกับดูแลกำหนด และบางอย่างผมได้ทำสูงกว่ามาตรฐานของสมาคมที่กำหนดไว้ การทำงานผมไม่ได้ทำความเสียหายให้บริษัท ไม่ทำความเสียหายแก่ลูกค้า และในขณะเดียวกันก็ต้องแข่งกันกับภาคธุรกิจได้ ที่ผมโตขึ้นมาด้วยทุกวันนี้ เพราะผมใช้ความซื่อสัตย์นำในการทำงานวงการหลักทรัพย์ วงการหลักทรัพย์ คือ ความซื่อสัตย์สามารถสร้างเงินได้ เงินอย่างเดียวไม่สามารถสร้างเงินได้ นี่คือสิ่งที่ผมทำมาโดยตลอด
การโอนหุ้นข้ามชื่อ หลักการทำงาน คือ ผมทำตามความประสงค์ของลูกค้า ซึ่ง 40 โบรกเกอร์ทำเหมือนกัน เกณฑ์การปฏิบัติเรื่องนี้ พร้อมสมาคม Hearing มากว่า 1 ปี ยังไม่ได้ออกมาตรการจนถึงทุกวันนี้ ผมได้ทำตามความประสงค์ของลูกค้า และในฝ่ายตรวจสอบได้มีการตรวจสอบ หากพบว่ามีเข้าข่ายเป็นการทำธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยก็จะรายงาน STR ต่อ ปปง. ตามขั้นตอน ผมถือว่า หลักการทำงานผม ครบถ้วน ในหน้าที่ของ CEO ที่พึงกระทำ ธุรกรรมใดที่น่าสงสัย ผมส่ง ปปง. ครบ” ดร.ประสิทธิ์กล่าว
ดร.ประสิทธิ์ ระบุด้วยว่า เขาถึงกับ งง ที่ถูกก.ล.ต.ลงโทษแบบนี้ และสงสัยว่าเป็นโทษหนักไป ซึ่งสิ่งที่ต้องทำในลำดับต้นๆ จากนี้ไปพร้อมๆกันก็คือ เรียกทีมผู้บริหาร นักงาน Apple wealth มาคุยเพื่อยืนยันในเรื่องของความถูกต้องและอนาคตบริษัท