top of page
image.png

หุ้นน่าลุ้น


ธนาคารกรุงไทย (KTB)

นักลงทุนอาจจะคิดว่า การที่ราคาหุ้นของธนาคารกรุงไทย หรือ KTB มีราคาไม่หวือหวา และราคายังคงอยู่ระดับต่ำกว่าพื้นฐานจริง มองเป็นหุ้นที่ไม่มีอนาคตในด้านการเก็งกำไร หรือจะเรียกว่าทำให้ไม่น่าสนใจในการเก็งกำไร และพลอยทำให้นักลงทุนลดความสนใจไปด้วย ราคาหุ้นจึงยืนยันอยู่ระดับต่ำต่อไป ก็ล้วนเป็นการคิดของการเก็งกำไรเท่านั้น แต่หากมาพิจารณาในด้านหลักการลงทุนที่แท้จริงแล้ว จะพบว่า KTB เป็นหุ้นที่น่าสนใจกับการเลือกลงทุนมาก ดูจากการที่ KTB ไม่ได้จ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีแรก จึงไม่เป็นที่สนใจของนักเก็งกำไร เปรียบเทียบกับหุ้นส่วนใหญ่ที่มีการจ่ายเงินปันผล ก็ดูดีน่าลงทุนมากกว่า แต่นั่นเป็นเพียงความไม่น่าสนใจในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะเมื่อผ่านครึ่งปีแรกไปแล้ว ต่อไปเมื่อควบครึ่งปีหลังหรือสิ้นปี 2559 หุ้นอื่นๆ ที่จ่ายปันผลในครึ่งปีแรกก็จะจ่ายเงินปันผลในครึ่งปีหลังอีกครึ่งปีเท่านั้น ตรงกันข้ามกับ KTB ที่จะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วงสิ้นปีเต็ม 1 ปี จุดนี้ผู้ที่น่าลงทุนใน KTB ครึ่งหลังของปีก็จะใช้เวลาในการลงทุนแค่ครึ่งปีเป็นอย่างมาก แต่กลับได้เงินปันผลเต็มปี จึงกลายเป็นความได้เปรียบในการลงทุนมาก ดังนั้น เมื่อมาดูผลประกอบการของ KTB ในครึ่งปีแรก ที่ทำกำไรได้ 16,218.41 ล้านบาท ทำให้สามารถคาดหมายได้ว่าตลอดปีจะทำกำไรได้ไม่น้อยกว่า 32,000 ล้านบาทได้ คิดแล้วจะได้กำไรต่อหุ้น 2.29 บาท เมื่อมาประเมินราคาหุ้นด้วยค่าพีอี 10 เท่า จะได้ราคาที่ 22.90 บาท แต่ราคาในตลาดยังอยู่แค่ 18 บาท จึงมี upside ได้อีก 27.22% และยังจะได้เงินปันผลปลายปีอีก 5% ด้วย ดูแค่นี้ก็เกินความคุ้มค่าในการลงทุนแล้ว

ศุภาลัย (SPALI)

อาจจะคิดว่ามีการนำเอาหุ้น SPALI มาบอกกันค่อนข้างบ่อย ก็เป็นการพิจารณาของการลงทุนจากพื้นฐาน ทำให้ยังพบว่าราคาหุ้น SPALI ยังอยู่ต่ำกว่าพื้นฐานจริงปัจจุบันอยู่ค่อนข้างมาก เป็นจุดที่ทำให้เมื่อมองในการลงทุนทางพื้นฐาน จะมีคำตอบว่าราคาหุ้นยังต่ำเกินไป หรือจะมองในด้านผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ยังนับว่าน่าสนใจนั่นเอง ส่วนด้านธุรกิจคงวางใจได้ว่าผู้ประกอบการปัจจุบันได้เปลี่ยนนโยบายจากเดิมที่ค่อนข้างอนุรักษนิยมมาเป็นเชิงรุกมากขึ้น มีการกระจายการลงทุนไปในต่างจังหวัดมากขึ้น และยังมีข่าวการจะลงทุนต่างประเทศเพิ่มด้วย ทำให้ด้านธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้มาก ดังนั้น เมื่อมาดูผลประกอบการของธุรกิจ จึงพบว่ามีผลกำไรในระดับสูงกว่าเดิมค่อนข้างมาก ดูจากผลประกอบการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่าทำกำไรได้เพิ่มมาอยู่ระดับกว่า 4 พันล้านบาท จากเดิมที่มีกำไรในระดับแค่ 2 พันกว่าล้านบาท จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน มาปี 2559 นี้ ครึ่งปีแรกก็ทำกำไรได้ 2,831.84 ล้านบาท กำไรเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 51.56% แสดงว่าธุรกิจยังดำเนินการได้ดีต่อเนื่อง ยิ่งเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ทำให้ประเมินว่าผลประกอบการของ SPALI ในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกได้ แต่แค่ประเมินผลกำไรต่ำกว่าครึ่งปีแรกเล็กน้อย ก็ยังจะได้กำไรรวมตลอดปี 2559 นี้กว่า 5,000 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นจะได้ 2.91 บาท ใช้พีอี 10 เท่าประเมิน ราคาจะได้ราคาที่ 29.10 บาท แต่ราคาในตลาดอยู่แค่ 22.50 บาท เท่ากับยังมี upside ได้อีก 29.33% โดยยังจะได้เงินปันผลงวดหลังอีกประมาณ 2.22% ด้วย ทำให้ยังน่าลุ้น

ไทยออยล์ (TOP)

ความผันผวนของราคาน้ำมันมีผลกระทบกับผลประกอบการธุรกิจน้ำมันมาก ดังนั้น คงจะมีคนคิดว่า หุ้น TOP ซึ่งเป็นธุรกิจน้ำมันคงจะได้รับผลในทางลบเมื่อราคาน้ำมันยังผันผวน มีผลให้ราคาหุ้นถูกกดอยู่ระดับต่ำ เพื่อให้ได้คำตอบที่แท้จริง จึงต้องกลับมาพิจารณาว่าราคาหุ้น TOP กับมูลค่าหุ้นแท้จริงทางพื้นฐานในปัจจุบันเป็นอย่างไร ก็มาดูแค่ผลกำไรของ TOP จะพบว่าครึ่งปีแรก 2559 นี้ TOP ทำกำไรได้ 12,478.60 ล้านบาท กำไรยังมากกว่ากำไรทั้งปี 2558 เสียอีก ก็เป็นจุดดีของ TOP ในปัจจุบัน เมื่อมาดูราคาน้ำมันที่เริ่มขยับสูงขึ้นในปัจจุบัน ไม่ได้ตกต่ำเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ประเมินได้ว่าตลอดปี 2559 นี้ TOP คงจะมีกำไรในระดับ 2 หมื่นล้านบาทได้ กำไรต่อหุ้นจะได้ 9.8 บาท เพียงใช้พีอี 10 เท่าประเมินราคาจะได้ราคาที่ 98 บาท แต่ราคาในตลาดอยู่แค่ 68 บาท จึงมี upside ได้อีกมากถึง 44% และยังจะได้เงินปันผลงวดหลังอีกอย่างน้อย 1.5% ด้วย จึงยังเป็นหุ้นที่ลงทุนได้และสามารถลุ้นได้อีกด้วย

 
bottom of page