top of page
image.png

ปีทองอุตฯไม้ยางพารา "ซื้อง่าย-ขายคล่อง"..จี้ธปท.ทำ ‘บาท’ อ่อน


ปีทองธุรกิจแปรรูปไม้ยางพารา ผู้ประกอบการแฮปปี้ หลังชาวสวนโค่นยางมากขึ้น วัตถุดิบเข้าโรงงานเพิ่มตาม ลูกค้ารายใหญ่จากจีนแย่งซื้อเข้าสต็อก จนดีมานด์ล้นเกินซัพพลาย พร้อมการันตีโค่นยางปีละ 4 แสนต้น ไม่ทำให้น้ำยาง-ไม้ยางในอนาคตหดหาย ยืนยันไม่ห่วง นักธุรกิจจีนยึดธุรกิจรับซื้อ-แปรรูปไม้ยาง เพราะคนไทยรู้ลึก รู้จริง ชำนาญพื้นที่มากกว่า แต่ที่ห่วงคือ เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ทำให้กำไรจากการส่งออกลดลง

นายสุทิน พรชัยสุรีย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงเลื่อยและโรงอบไม้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยทีมข่าวหนังสือพิมพ์ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงเหตุผลที่ชาวสวนยาง โค่นล้มต้นยางไปเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมาว่า ถือเป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช เมื่อช่วง 2 ปีที่แล้วที่มีนโยบายให้โค่นล้มต้นยางเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยตัด 2.8 แสนไร่ต่อปี ให้ปรับมาเป็น 4 แสนไร่ต่อปี พร้อมให้งบประมาณในการตัดโค่นเพิ่มขึ้น เพื่อลดซัพพลายยาง และให้ยางมีราคาที่ดีขึ้น

“อานิสงส์นี้ทำให้โรงงานไม้ยางที่ส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้ มีวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และมีค่อนข้างเหลือเฟือพอสมควร ส่วนที่เข้ามาในโรงงานมีจำนวนมาก ทำให้ราคาไม้ยางแปรรูปตกต่ำลงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต และยังขายได้ต่อเนื่อง ถือว่าเป็นปีทองของธุรกิจไม้ยางแปรรูป เพราะมีวัตถุดิบเพียงพอและขายได้ ซึ่งราคาถือว่ายังใช้ได้ มีกำไร โดยรวมผลจะเป็นบวกมากว่าปีที่แล้ว”

ทั้งนี้ ในส่วนตลาดจีนที่เป็นตลาดหลักรับซื้อไม้ยางแปรรูปจากไทยนั้น มีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องจากปีที่แล้วราคาไม้ยางค่อนข้างผันผวน ทำให้คนจีนที่เป็นพ่อค้าคนกลางไม่ได้เก็บสต็อกคือลดปริมาณสต็อกลง ดังนั้น ในปีนี้ทางโรงงานจีนจึงต้องมาซื้อไม้ยางจากไทยมากขึ้นในลักษณะแยงกันซื้อ ทำให้ราคาผันผวนและมีไม้ไม่เพียงพอ

“จากที่มีการตัดไม้ยางกันจำนวนมาก เราอาจจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อน ปัจจุบันไม้ยางที่เราปลูกกันในประเทศไทยจะมี 22 ล้านไร่ แบ่งเป็นภาคใต้กว่า 11 ล้านไร่ และถ้าคำนวณแล้วเราต้องโค่นปีละ 5 แสนไร่ แต่ที่ผ่านมาเราโค่นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะอายุต้นยางอยู่ที่ 25 ปี ดังนั้นการต้องโค่น 5 แสนไร่จึงไม่มีปัญหา ขณะที่คสช.ให้โค่นเพียง 4 แสนไร่ ยังเหลือ 1 แสนไร่ต่อปี ในช่วง 5-10 ปีนี้ไม้ยางยังไม่น่าจะหมด และไม่น่าห่วง”

นอกจากนี้ นายสุทินยังกล่าวถึงธุรกิจส่งออกไม้ยางแปรรูปด้วยว่า นอกจากจีนจะเป็นผู้ซื้อรายใหญ่แล้ว ขณะนี้นักธุรกิจจีนยังเข้ามาลงทุนในธุรกิจแปรรูปไม้ยางพาราในไทยมากขึ้น โดยเข้ามาร่วมทุนตั้งโรงงาน มองว่าเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมชาติ คือเข้ามาได้ แต่เชื่อว่าในท้ายที่สุดจีนซื้อเราไม่ได้ เนื่องจากธุรกิจไม้ยางจะมีลักษณะที่แปลก คือเราต้องไปซื้อป่า ไปหาชาวบ้านเพื่อซื้อป่า ไปซื้อสวนยางในป่ามา แล้วตัดส่งโรงงาน และจะมีพ่อค้าคนกลาง ส่วนตัวไม่เชื่อว่าคนจีนจะมีความสามารถเท่ากับคนท้องถิ่นในการไปซื้อไม้ที่อยู่ในป่า เพื่อเอาเข้ามาในโรงงาน เขาไปเฝ้าไม่ไหว สู้เราไม่ได้...

จากที่บริหารกิจการโรงเลื่อยมานาน ยอมรับว่าฝีมือคงไม่ต่างกันมาก แต่เขาขยันกว่า เพราะเขาลำบากมาก่อนเรา ขณะที่เราอาจสบายกว่า ที่ผ่านมานักธุรกิจได้รับบทเรียนมามาก เพราะธุรกิจนี้ไม่เหมือนธุรกิจอื่น ทำไม่ง่าย ควบคุมลำบาก และจีนเริ่มเข้าใจแล้วว่าไม้ยางมันทำยาก แล้วราคาจะเป็นแบบนี้ แต่ก่อนไม่เข้าใจ เข้ามาแล้วก็ทุ่มซื้ออย่างเดียว แต่ตอนนี้ไม่ค่อยกล้าทุ่มซื้อ เพราะซื้อแล้วอาจไปตัดไม้ไม่ได้”

ส่วนในเรื่องของค่าเงินบาทที่ผันผวนนั้น นายสุทินกล่าวว่า การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ขายไม้ยางแปรรูปได้ถูกลง และได้เงินน้อยลง ซึ่งผู้ประกอบการคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทน่าจะอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ หรือประมาณ 35.5 บาทต่อดอลลาร์ แต่ขณะนี้ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ มากว่า 1 เดือนแล้ว ส่งผลให้กำไรผู้ประกอบการลดลงไป

“ก็ไม่รู้ใครจะแก้ได้ เพราะถามผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วก็ไม่มีใครให้ความชัดเจน แต่มีคำตอบว่าเงินนอกไหลเข้ามาซื้อหุ้นในไทยมาก ทำให้เงินบาทแข็งค่า ก็ไม่ทราบว่าเงินนอกจะเข้ามานานหรือไม่ จะได้ทำใจ ซึ่งรัฐบาลน่าจะเข้ามาช่วยดู ถ้าเข้ามาก็น่าจะให้นิ่งหน่อย ก็คือให้เข้ามานานๆหน่อย เราจะได้ปรับตัวให้เป็นไปตามนี้ แต่ขณะนี้กลายเป็นความผันผวน เข้าๆออกๆ รัฐบาลน่าจะดูเมื่อเงินไหลเข้า และควบคุมให้มีปริมาณที่เสถียร”

 
bottom of page