top of page
image.png

3 เหตุกระทบเศรษฐกิจ 3 เดือน อันตราย! ‘ซามูไร’ ช่วยพยุงได้


นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มไฟแรงเตือนห้วงเวลาอันตรายสุดๆ 3 เดือนสุดท้ายปี 2559...โลกมีความเสี่ยงสูง จากหนึ่ง-ก่อการร้ายในยุโรป, สอง-วิกฤตเศรษฐกิจจีน, สาม-“ทรัมป์” ชนะเลือกตั้ง ทำให้ Fed ไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ย จับตา “อัศวินม้าขาว” BOJ ญี่ปุ่นมาแนวใหม่ ทุ่มเงินไม่อั้น ช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจญี่ปุ่น-โลกได้ ถ้าทำตามที่ลั่นไว้จริง

ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” หลังจากกลับมาจากการสัมมนาประจำปีของ OECD ที่ได้จัดขึ้นทุกปีที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในหัวข้อเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจยุโรป ว่าขณะนี้ดูเหมือนทางยุโรปยังกังวลเรื่องการก่อการร้ายเป็นอันดับหนึ่ง และอีกมุมหนึ่งก็ยังกังวลว่าเศรษฐกิจภาครวมของโลกอาจจะฟื้นตัวไม่เร็วอย่างที่ IMF คาดการณ์ไว้ ก็เป็นข้อสรุปหัวข้อใหญ่ในงานสัมมนาวันนั้น

“เหตุผลที่บรรดาธนาคารกลางยังไปไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ถ้าสมมุติว่าไม่มีเรื่อง Brexit คาดว่าเฟดคงขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วแต่เมื่อมีเรื่อง Brexit ก็ต้องมีการปรับความคาดหวังของตลาดนิดหน่อย เพราะเมื่อปี 2013 นายเบน เบอร์นันเก้ เคยพูดว่าจะลด QE หรือขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลทำให้ตลาดผันผวนเป็นอย่างมาก ตอนนี้ นางเจเน็ต เยลเลน คงเห็นแล้วว่าถ้าปรับขึ้นดอกเบี้ยก็คงมีเพียงเจ๊งกับเจ๊า ทำให้นางเจเน็ต เยลเลน อยู่เฉยรอดูในเดือนธันวาคมดีกว่า” ดร.บุญธรรมกล่าว “ถ้ามอง ณ วันนี้ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม คิดว่ามีความแน่นอน 90% ขึ้นไป เนื่องจากคนที่สามารถโหวตได้และคนที่ไม่ใช่คนโหวต มองว่าอยากจะให้ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม 5-10 ท่าน”

อย่างไรก็ดี ดร.บุญธรรมกล่าวว่ามี 2 เหตุผล เฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ย คือ 1.นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง นางฮิลลารี คลินตัน แบบค่อนข้างห่าง เพราะในมุมของทางการเมืองนายโดนัลด์ ทรัมป์ อยากจะเปลี่ยนโครงสร้างธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะแปลว่าประชาชนมองว่าเฟดคงไม่มีความชอบธรรม เชื่อว่านางเจเน็ต เยลเลน น่าจะขึ้นดอกเบี้ยยาก

โอกาสที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในวันนี้ใกล้เคียงความเป็นจริง หากดูโหงวเฮ้งของนางฮิลลารี คลินตัน ยังไม่ดีมากนัก ดูแล้วเหมือนเป็นเกมรับตลอดโอกาสชนะค่อนข้างน้อย แต่ไม่รู้ว่าอีก 2 เดือนเกมจะเปลี่ยนหรือไม่ มองในวันนี้โอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะมีสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคะแนนชนะเยอะโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยยาก” ดร.บุญธรรมกล่าว

“อีกเหตุการณ์ คือ จากช่วงนี้ไปอีก 2-3 เดือน จะมีวิกฤตค่อนข้างใหญ่หรือไม่ ถ้ามีสเกลที่ใหญ่เฟดก็คงไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ยเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้วิกฤตใหญ่ คือ จีนมีปัญหาอยู่ แต่ไม่รู้เวลาจะระเบิดเมื่อไหร่ซึ่งตอบยากมาก อาจจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปีก็เป็นได้ หรือเหตุการณ์การก่อการร้ายในยุโรป อย่างที่ไปปารีสในสัปดาห์ที่ผ่านมาแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหรือเมืองในยุโรปมีความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดก่อการร้ายถึงร้อยละ 40 ซึ่งเฟดค่อนข้างคิดหนักเหมือนกัน ถ้าปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้วเกิดสะดุด ที่ทำมาดีแล้ว 7 ปี ก็อาจจะจบลงได้”

ดร.บุญธรรมมอง BOJ ญี่ปุ่นว่ามาผิดฟอร์ม โดยส่วนตัวค่อนข้างมั่นใจ 80% ว่า ทางการญี่ปุ่นออกมาตรการต่างๆ ออกมา ผู้อยู่เบื้องหลัง คือ นายเบน เบอร์นันเก้ เพราะว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ถนัดในสไตล์ใช้เทคนิคควบคุมอัตราดอกเบี้ยแบบ 0-30 ปี โดยส่วนตัวได้ติดตามนายเบน เบอร์นันเก้ มานานมาก เชื่อว่า BOJ ไม่ใช่สไตล์นี้ ยังเชื่อว่านายเบน เบอร์นันเก้ เป็นที่ปรึกษาภายนอก

“จากการที่ BOJ ออก 2 มาตรการ คือ 1.ทุ่มเงินในปริมาณไม่อั้น เพื่อให้เงินเฟ้อเกิน 2% และ2.ทุ่มเงินไปที่พันธบัตร 20 ปี ณ วันนี้ให้เป็น 0% ไม่ว่าจะทุ่มเงินไปเท่าไหร่แต่ขอให้ดอกเบี้ยของพันธบัตร 20 ปีของญี่ปุ่นเป็น 0% ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนของการคุมเศรษฐกิจ คือ 1.เรื่องดอกเบี้ยขึ้น อย่าง QE ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรืออย่าง ญี่ปุ่น ที่กำหนดให้ QE เป็น 80 ล้านล้านเยนต่อปี 2.การทุ่มไม่อั้น อย่าง QE 80 ล้านล้านเยน ไม่ต้องไปบอก ทุ่มให้เต็มที่

“ในทางเศรษฐศาสตร์สายที่ใช้กฎเกณฑ์แน่นอนตายตัวแน่นอนว่าใน 1 ปี จะใช้ QE เป็นล้านล้านเยนมักจะให้ประสิทธิภาพในทางเศรษฐกิจดีกว่า แต่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแย่จนอัตราเงินฝืดแก้ไม่ได้ในทางกฎเกณฑ์ ต้องแก้ด้วยวิธีการใส่เงินเท่าไหร่ก็ได้แต่ไม่ยอมบอกจำนวน ซึ่งลักษณะนี้เป็นลักษณะนอกตำราและเป็นประเทศแรกๆ ที่ใช้วิธีนี้ จุดดีของมาตรการ 2 นี้ของญี่ปุ่น คือ นายเบน เบอร์นันเก้ เหมือนเป็นนายห้างรับรองอยู่ภายใน คือชื่อนายฮารูฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่า BOJ เปรียบเสมือนแบรนด์ไม่ค่อยดี ต้องใช้ชื่อเบน เบอร์นันเก้ มาสร้างความน่าเชื่อถือ”

ดร.บุญธรรมย้ำมาตรการของ BOJ คือ การทุ่มไม่อั้น ถ้าพันธบัตรของญี่ปุ่นมีจำนวนจำกัด การทุ่มไม่อั้นแต่การซื้อพันธบัตรญี่ปุ่นในระบบก็มีอยู่เท่านั้น เผอิญพันธบัตรญี่ปุ่นมีมากเมื่อเทียบกับยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ทำให้ BOJ ซื้อพันธบัตรไป 40% ของทั้งหมด แต่ก็ยังมีพวกที่อยากจะซื้อพันธบัตรอย่าง แบงก์ ประกันภัย ทำให้ BOJ ซื้อได้ไม่เกิน 50-60% และยังมีจุดที่นายฮารูฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่า BOJ พูดไว้ว่าจะแก้กฎหมายที่ BOJ ซื้อพันธบัตรจะกว้างมากขึ้น คือ สมมุติซื้อในปริมาณ 5 ล้านล้านเยนก็สามารถขึ้นมาได้ 8 ล้านล้านเยน อย่างที่นายฮารูฮิโกะ คุโรดะ ส่งสัญญาณมาแล้ว

“สิ่งที่ทุกคนชอบที่สุด คือ หุ้นญี่ปุ่น คิดว่าจะปรับขึ้น ถ้าสมมุติว่าถึงสิ้นปี BOJ สามารถทำได้ตามราคาที่คุยไว้ ทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้นมาได้ สามารถทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรขึ้นมาได้ เชื่อว่าหุ้นจะปรับขึ้นมาได้เป็นกอบเป็นกำพอสมควร เหตุผลที่ 2.คือ นายเบน เบอร์นันเก้ ให้การสนับสนุนแบบเต็มตัวอย่างต่อเนื่อง คือตอนที่นายเบน เบอร์นันเก้ ปล่อยอาวุธแบบเปิดๆ ปิดๆ แต่ในทางปฏิบัติอันนี้คืออาวุธสไตล์นายเบน เบอร์นันเก้ ทำให้หุ้นญี่ปุ่นน่าจะปรับขึ้น แต่หุ้นญี่ปุ่นที่จะมีแนวโน้มปรับลง คือ พันธบัตรที่ซื้อกัน หากแก้กฎไม่ได้แล้วจะเอาอะไรไปดันหุ้น และสมมุติถ้าตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่กระเตื้องขึ้นในอีก 2-3 เดือน ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ อัตราการว่างงานไม่ลดลง ทุกคนจะสงสัยแล้วว่ามาตรการใหม่จะเหมือนเดิม คือ ไปต่อไม่ได้” ดร.บุญธรรมกล่าว

“จริงๆ แล้วเป็นการเปลี่ยนเทรนด์ค่อนข้างชัดมากว่า BOJ ไม่เอาเหมือนเดิม ถ้าเหมือนเดิมจะติดชะงัก อีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดด้อยของนายฮารูฮิโกะ คุโรดะ เทียบกับผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นคนอื่น คือ ไม่ค่อย Active ในเวลาปฎิบัติ เวลาที่มีการประชุมนายฮารูฮิโกะ คุโรดะ ไม่ค่อยออก Action หรืออาจเป็นเพราะคาแรคเตอร์ของคนเอเชีย ถ้าเทียบในยามวิกฤตแล้วนายธนาคารกลางจะต้องเป็นคนส่งสัญญาณได้เก่ง ทำให้ตลาดเชื่อ ถ้ายิ่งไม่ทำก็จะเกิดจุดเสียเปรียบเพราะว่าอาวุธทางการเงินอย่างเดียวช่วยไม่ได้แล้ว จะต้องมีลีลาในการกล่อมตลาดให้เชื่อถือตามที่คิด ซึ่งนายฮารูฮิโกะ คุโรดะ ถ้าเทียบกับ นายเบน เบอร์นันเก้ หรือ นายมาริโอ ดรากิ ประธาน ECB ยังไม่ได้หรือห่างชั้น”

 
bottom of page