
ปัจจัยชี้นำจากต่างชาติ ยังส่งผลต่อหุ้นไทย แม้หลังการ debate ครั้งแรกของผู้ชิงประธานาธิบดีอเมริกาออกมาว่า ฮิลลารี่ ได้คะแนน 62% ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกได้ ขณะที่ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคอเมริกาที่ออกมาดีเกินคาด แต่ที่ยุโรปกลับถูกกวนน้ำให้ขุ่นจากกรณีฐานะทางการเงินของ Deutsche Bank ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดถูกสั่งปรับกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จนต้องขายแอบบีไลฟ์กิจการในเครือ ขณะที่หุ้นไทยไม่ขานรับข่าวส่งออกที่เพิ่มขึ้น และการประเมินจีดีพีไทยจาก ADB ที่ 3.2% ไม่สามารถผ่านด่านดัชนี 1,500-1,510 จุดไปโดยง่าย
บล.เคทีบี(ประเทศไทย) KTBST ประเมินความกังวลจากเรื่อง Deutsche Bank ส่งผลกระทบในช่วงสั้น ขณะที่การประชุมผู้ผลิตน้ำมันที่คาดว่าจะล้มเหลวไม่สามารถตกลงอะไรกันได้อีกครั้งหนึ่ง
ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจการลงทุนในหุ้นในช่วงนี้
นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ KTBST เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกรับข่าวความกังวลและให้ความสำคัญกับกรณี Deutsche Bank พอสมควร ซึ่งก่อนหน้านี้ Deutsche Bank จะมีปัญหาเรื่องของสถานการเงินที่สร้างความกังวลมาต่อเนื่องตลอดปี 2559 ที่ผ่านมาเป็นระยะๆ โดยล่าสุด เกิดกรณีถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาสั่งปรับกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ กรณีที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ซึ่งผลทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล
อย่างไรก็ตาม ความกังวลดังกล่าวจะเป็นผลระยะสั้น และเห็นว่าในระยะยาวแล้วน่าจะไกล่เกลี่ยกันได้ เนื่องจาก Deutsche Bank เป็นธนาคารใหญ่สุดของเยอรมัน ซึ่งหากต้องจ่ายเงินค่าปรับจำนวนดังกล่าวจริงจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ Deutsche Bank และส่งผลต่อเนื่องไปถึง เศรษฐกิจของยูโรโซนมากขึ้นไปอีก ซึ่ง ณ ปัจจุบันเศรษฐกิจยูโรโซนยังไม่ฟื้นตัวมาก
ทั้งนี้ถ้าตัดประเด็น Deutsche Bank พบว่าดัชนีบรรยากาศทางธุรกิจ (IFO) ของประเทศเยอรมัน ในเดือน กันยายน ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 109.5 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 106.4 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบ 2 ปี แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเยอรมันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนราคาน้ำมัน ยังเกิดความผันผวนค่อนข้างมาก และมีกระประเมินกันว่า การประชุม OPEC ที่ประเทศแอลจีเรีย อาจไม่มีความคืบหน้าที่เป็นบวกออกมา โดยผู้ผลิตน้ำมันหลายรายต้องการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันเอาไว้แต่ก็ยังมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ระหว่าง ซาอุดิอาระเบีย และ อิหร่าน ซึ่งการคงกำลังการผลิตเอาไว้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับทรงตัวต่อไปหากหาข้อสรุปไม่ได้
สำหรับประเทศไทยเอง แม้ว่าจะมีข่าวดีจากกระทรวงพาณิชย์ว่าการส่งออกของไทยออกมาปรับเพิ่มขึ้น 6.5% พร้อมๆกับที่ ADB หรือธนาคารพัฒนาเอเชียประกาศปรับประมาณการ GDP ของไทยปีนี้ จาก 3.0 เป็น 3.2%
ส่วนปี 2560 คงคาดการณ์เดิมที่ 3.5% จากอานิสงส์ของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และแนวโน้มการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยที่การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับไม่ได้หนุนตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและไม่สามารถขึ้นไปในแนวสำคัญ 1,500-1,510 จุดได้
ทีมวิเคราะห์จาก KTBST ระบุว่าด้วยปัจจัยต่างประเทศที่มีน้ำหนักไปในทางลบ หรือรอคอยผลประชุมน้ำมัน นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้น และ Bond Yield ในหลายๆประเทศปรับตัวลง แสดงถึงสัญญาณลดความเสี่ยงของนักลงทุน