top of page
image.png

พ.ย.-ธ.ค.'59 ได้ลุ้นระทึก..ฟันธง ‘บาท’ อ่อนยวบ! 35-35.50 บาท/ดอลลาร์


ปรมาจารย์เศรษฐศาสตร์ไทย “ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์” เตือนรับมือความผันผวนเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทยเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2559 ลุ้นผลเลือกตั้งผู้นำมะกันก่อน/หลัง 8 พฤศจิกายน กับติดตามการตัดสินใจ FED ขึ้น/ไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ฟันธง! เงินบาทอ่อนพรวดถึง 35-35.30 บาท/ดอลล์

ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวผ่านรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” จัดโดยกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางในหลายๆประเทศ เริ่มจาก BOT (ธนาคารแห่งประเทศไทย) คงไม่มีอะไร เพราะ BOT จากที่ทำ ก็ไม่กล้าทำอะไรนานพอสมควร คงจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายนานทีเดียว ส่วน ECB ไม่มีอะไรมาก เป็นในลักษณะ ยังยืนยันว่าพร้อมจะดำเนินนโยบายกระตุ้นทางด้านการเงินต่อไป ไม่มีอะไรใหม่ แต่มีแนวคิดบางส่วนของรัฐมนตรีคลังประเทศเยอรมันที่ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าว่าวิธีการของ ECB จะถูกต้อง คงจะทำให้มีกระแสข่าวออกมาเล็กน้อยว่า ECB คงพยายามสร้างความมั่นใจว่าตัวเองพร้อมที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้ามีความจำเป็น ก็ถือเป็นท่าทีที่ทำมานานแล้ว

ส่วน BOJ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะ BOJ มีการคาดคะเนไว้ว่า น่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ก่อนหน้ามีการคิดแบบนี้ค่อนข้างจะเยอะ คราวนี้ BOJ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ติดลบขณะนี้ ถือเป็นการติดลบในลักษณะที่ติดลบในตัวเลข เอาเข้าจริงๆธนาคารต่างๆก็ยังไม่ได้ให้อัตราดอกเบี้ยติดลบจริง แต่ว่าธนาคารกลางก็ยังไม่ค่อยกล้าที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก คือต้องมั่นใจว่าถ้าจะลดลงไปอีก ประชาชนก็จะอาเงินสดไปเก็บตู้เซฟมากขึ้น ไม่ได้ผลอะไร กลับยิ่งทำให้ให้เศรษฐกิจ อ่อนแอลง เพราะเงินจะหายไปจากตลาดเลยไม่กล้าให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงไปอีก

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างก็คือ BOJ บอกเลยว่า ตอนนี้จะไม่มองที่ตัวเลขของฐานเงินแล้ว ซึ่งก็คือปริมาณเงิน ปกติธนาคารกลางก็จะมีบางแห่ง อาจจะประกาศลดจากเป้าหมายเงินเฟ้อแล้วก็กำหนดเป้าหมายเกี่ยวกับว่าปริมาณฐานเงินจะมากหรือน้อย ทุกครั้งทาง BOJ ก็จะบอกไว้ระดับหนึ่ง ซึ่งเมื่อบอกไปแล้วก็จะไม่สนใจแล้ว โดยการที่ไม่สนใจแต่ก็พร้อมจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ เป้าหมายเงินเฟ้อ ราคาสินค้าไปอยู่ที่ 2% ให้ได้ พูดง่ายๆคือให้กำลังใจประชาชนหรือตลาดว่าไม่ต้องห่วง งานนี้ไม่มีลิมิต จากที่คนบอกว่าจะมีลิมิต พร้อมที่จะทำ และตัวเลขฐานเงิน ตัวเลขเงินเฟ้อ ตัวเลขสภาพคล่องที่กำหนดไว้ ก็ไม่มีการกำหนดแล้ว เป็นการให้ความมั่นใจ แต่ว่าการกระทำจริงๆไม่ปรากฏ เป็นเพียงการใช้วาจาเท่านั้นเอง” ดร.ตีรณกล่าว

“ส่วนอีกตัวหนึ่งที่เป็นตัวใหม่ ก็คือบอกว่า ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะมีตัวเลขที่เกี่ยวกับบิลด์ เคิร์พ ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว เป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ พร้อมที่จะปล่อยสภาพคล่องออกมายาวนานเป็น 10 ปี จึงไม่ต้องห่วงว่า เวลาจะทำไป BOJ จะดึงสภาพคล่องกลับ เหมือนกับสหรัฐอเมริกา ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้อีก แต่ให้มองไว้ว่า ระยะยาว BOJ พร้อมที่จะรักษาอัตราเป้าหมายเงินเฟ้อยาวไปนานพอสมควร เพราะจากนี้ก็จะมีแผนออกมาว่า อัตราตอบแทนพันธบัตรซึ่งเป็นตัวที่มีอิทธิพลในตลาดในระยะยาว จะเป็นเท่าไหร่” ดร.ตีรณกล่าวและมองว่าตรงนี้เป็นการส่งสัญญาณ ทำให้ตลาดในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้น แต่ค่าเงินดอลลาร์ถ้าเทียบกับเยน หมายความว่า ค่าเงินเยนก็ไม่ได้อ่อนลง ขณะนี้อยู่ที่ 100.98 ต่อดอลลาร์ ก็ถือว่าค่อนข้างแข็งเมื่อเปรียบเทียบกับที่เคยคาดคะเนไว้เมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง “เพราะ BOJ พูดอย่าง ไม่ได้หมายความว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆจะทำได้แบบนั้น ก็ต้องระมัดระวัง คือที่บอกจะไม่มีลิมิต อาจจะไม่ปรับก็ได้ ดังนั้น ค่าเงินเยน ยังมีความผันผวนสูง แต่ภาวะเศรษฐกิจจริงของญี่ปุ่น ปรับตัวค่อนข้างดีต่อเนื่อง ถ้าดูตัวเลขภาคการผลิตไม่ได้เป็นขาลง และไปอย่างค่อนข้างมีเสถียรภาพ คือไม่มีอะไรน่าห่วงมากขึ้น”

ดร.ตีรณยังกล่าวถึงผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาหรือเฟดว่าน่าสนใจมาก เพราะสหรัฐอเมริกา ก็มีการคาดคะเนกันมาแล้วว่าจะขึ้นในช่วงเดือนกันยายนจนถึงปลายปี ตัวเลขเศรษฐกิจก่อนหน้าเดือนกันยายนไม่ค่อยจะดีนัก ผสมสภาวะที่ไม่ดีเข้ามา ทำให้การตัดสินใจที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนหายไป สังเกตว่า 1-2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมเฟดตลาดก็คาดคะเนแล้วว่าคงจะขึ้นไม่ได้ในเดือนกันยายน จะต้องเลื่อนไปในเดือนธันวาคมเลย เพราะฉะนั้นการประชุมของเฟดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นไปตามที่คาดคะเนของตลาด ก็คงจะขึ้นได้ประมาณ 1 ครั้งในปีนี้ และคงจะเป็นในเดือนธันวาคม 2559

“ขณะนี้ 60% เป็นการคาดการณ์ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย แต่เมื่อตีความจากความคิดเห็นต่างๆแล้ว ก็ค่อนข้างจะคิดว่าโอกาสในการขึ้นเดือนธันวาคมจะสูง อาจจะมากกว่า 60% สาเหตุไม่ใช่เพราะว่ามีการคัดค้าน คือมีอยู่ 3 เสียงคัดค้านไม่ให้ขึ้นจาก 12 เสียง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ คำพูดของประธานนางเยลเลนที่บอกว่าอยากให้เศรษฐกิจมีเวลามากขึ้นที่จะทำงานต่อไป เพื่อจะได้ฟื้นตัวได้ในช่วงที่เหลือ คำพูดนี้ แปลว่า ขอเวลาอีกนิดอย่าขึ้นเดือนนี้เลย รอสักหน่อยเพื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจ เป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้น โอกาสที่จะขึ้นในเดือนธันวาคม ส่วนตัวมองว่าจะสูงกว่าที่ตลาดคาดคะเนไว้”

สำหรับประเทศไทย ดร.ตีรณแนะว่าควรมีการเตรียมรับมือเรื่องค่าเงินบาท เนื่องจากมีแนวโน้มที่เฟดจะดำเนินนโยบายสภาพคล่องที่จะผ่อนคลายต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี เพราะฉะนั้น ค่าเงินบาทก็น่าจะแข็งค่าในระดับ34 บาทต่อดอลลาร์ คือจะแข็งค่ากว่าปัจจุบันนี้เล็กน้อย แต่ว่าสถานการณ์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม 2559 ซึ่งจะเป็นช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และเป็นโอกาสที่เฟดต้องทิ้งทวนขึ้นดอกเบี้ย ตรงนี้จะเกิดความผันผวนขึ้น เพราะฉะนั้นค่าเงินบาทในช่วงปลายปีอาจจะไม่อยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ อาจจะกลับไปที่ 35 บาท หรือ 35.5 บาทต่อดอลลาร์ ตรงนี้ก็เป็นอะไรที่จะต้องคอยดูพอสมควร

“การเลือกตั้ง ถ้าดูจากโพล ผลปรากฏว่า นางฮิลลารี่ คลินตันก็ยังนำอยู่ แต่ถ้าดูรายละเอียด และปัจจัยอื่นๆ โอกาสที่เขาจะชนะเลือกตั้งมีอยู่พอสมควรเลย ซึ่งถ้าชนะเลือกตั้งจริง ก็เป็นอะไรที่ถือว่าเรียกว่าคาดไม่ถึงระดับหนึ่งในตลาดทุน ตรงนี้ก็จะทำให้เกิดการผันผวนในช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม และตรงนี้อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นางเยลเลนไม่มั่นใจว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ดีหรือไม่ อาจจะรอไปถึงช่วงนั้นแล้วรอดูสถานการณ์อีกที”

 
bottom of page