
บล.กรุงศรี ยกดีลหมอเสริฐ ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ซื้อปาร์คนายเลิศทำศูนย์สุขภาพครบวงจรแห่งแรกในเอเชีย “BDMS Wellness Clinic” สุดเจ๋ง และเป็นกลยุทธ์ Blue ocean แม้จุดคุ้มทุนจะไกลถึงปี 2562 และบริษัทจะมีภาระการจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
หลังมีการประกาศ ดีลครั้งใหญ่ การซื้อขายที่ดินสิ่งปลูกสร้าง โรงแรมปาร์คนายเลิศ โดยบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS ของหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ มูลค่าถึง 1.08 หมื่นล้านบาท ทำให้เกิดอาการตกใจของบรรดานักลงทุนและขายหุ้น BDMS จนปรับลดลงมารับข่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเชิญบรรดานักวิเคราะห์ จากค่ายต่างๆเข้าชี้แจง มุมมองต่างๆก็เริมปรับดีขึ้น โดยแม้บางส่วนจะยังคงมีความกังวลว่า BDMS อาจมีภาระ ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และการต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อสร้าง ศูนย์สุขภาพครบวงจรตามแผน แต่ก็เห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นการสร้างอนาคตที่ดีในระยะยาวที่น่าสนใจ
ทีมวิเคราะห์ ของบล.กรุงศรี ถึงกับยกนิ้ว และชมว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมากๆ เป็นการตัดสินใจที่น่าสนใจมากของ หมอปราเสริฐ ในชนิดที่เรียกว่า เป็นกลยุทธ์ Blue ocean กันเลยทีเดียว เพราะอนาคตคนต้องการการบริการรักษาที่ดีมากขึ้น ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และเป็นสังคมผู้สูงวัยมากขึ้น และคนไม่น้อยพร้อมที่จะจ่าย ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างชาติ ที่เน้นไปที่ผู้ใช้บริการที่ต้องการดูแลสุขภาพ
“ทีมผู้บริหารนําโดย หมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ BDMS ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์หลังจากที่บริษัทประกาศแผนการเข้าซื้อที่ดินของโรงแรม Swiss Hotel ปาร์คนายเลิศในดีลที่มีมูลค่า 1.08 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็น BDMSWellness Clinic โดยคอนเซ็ปต์ของโครงการนี้คือการสร้าง oasis และพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ และต้องการจะทําให้เป็นสถานที่สําหรับลูกค้ามาอยู่หลังเกษียณ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักได้แก่ ชาวต่างชาติระดับ high-end ที่ห่วงใยสุขภาพและต้องการหาบริการ wellness แบบ premium เรามองว่าโครงการนี้มีโอกาสประสบความสําเร็จสูงเนื่องจากจะเป็น Wellness Center แห่งแรกในเอเซีย ในขณะที่คู่แข่งหลักอยู่ที่ยุโรปและอเมริกา
โดย Wellness Clinic แห่งนี้ยังจะเน้นไปที่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่งต่างจากการให้บริการของโรงพยาบาลที่เป็นบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยตามรูปแบบปกติ ดังนั้นเราจึงมองว่าโครงการนี้เป็นกลยุทธ์ Blue Ocean Wellness clinic จะช่วยเพิ่ม EBITDA margin ของเครือในระยะยาวคาดว่าคลีนิคแห่งนี้จะเปิดให้บริการได้ในปี 2560 และเราคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในระดับ EBITDA ได้ภายในปี 2562 และระดับ NPAT ภายในปี 2563”
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ BDMS ในปี 2560 จะถูกกดดันจากผลขาดทุนของ Wellness Clinics และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 350 ล้านบาทเนื่องจาก BDMS น่าจะออกหุ้นกู้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเพื่อมาใช้ลงทุนในโครงการนี้ โดยคาดว่าจะจ่ายดอกเบี้ย ไม่ถึง 3.5% ต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิ/ทุนเพิ่มขึ้นเป็น 0.6x จากปัจจุบันที่ 0.4x แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่า financial covenant (1.75x)
“เราคาดว่าคลีนิคแห่งนี้จะช่วยหนุนให้อัตราการเติบโตของรายได้ทั้งเครือเพิ่มขึ้นเป็น 12-13% จาก 9-10% ต่อปีในช่วงปี FY18FFY20F และช่วยให้ EBITDA margin ของทั้งเครือเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจนี้มี EBITDA margin (28-30%) สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาล (21-23%)”
ทีม บล.กรุงศรี ยัมองว่า กําไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง (21% CAGR) หลังจากที่ Wellness Clinic ฟื้นตัว
“ได้ปรับลดประมาณการกําไรสุทธิปี FY17-19F ลง 4-5% เพื่อสะท้อนถึงดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และผลขาดทุนในช่วงแรกของ Wellness Clinics แต่เราคาดว่ากําไรน่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งถึง 21% CAGR ในช่วงปี FY18-FY20F และทําให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 27 บาท (จากเดิม 26 บาท) ราคาหุ้น BDMS ซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E ปี FY17F ที่ 36x สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโรงพยาบาลในภูมิภาคที่ 35x ถึงแม้ราคาเป้าหมายจะดูสูงแต่ก็ถือว่าสมเหตุผลเนื่องจาก BDMS เป็นกิจการเพียงแห่งเดียวในโลกที่มีบริการทั้ง Wellness Clinic และโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยหนุนให้ BDMS สร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
ด้าน บล.บัวหลวงระบุว่า ในระยะสั้นมองว่าราคาหุ้น BDMS น่าจะได้รับแรงกดดันจากกำไรที่จะมีการปรับลดลงจากตลาด เนื่องจากวงจรการลงทุนครั้งใหม่ที่จะส่งผลแก่อัตรากำไรในระยะสั้น แต่ในระยะยาวผลประโยชน์ที่ได้รับคือการลงทุนที่จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ได้มีการ ปรับลดประมาณการกำไรหลักลง 3% สำหรับปี 2559 และ 5% สำหรับปี 2560 เพื่อสะท้อนภาพการปรับตัวสูงขึ้นของดอกเบี้ยจ่ายจากการเข้าซื้อกิจการล่าสุด โดยปรับดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2559 และ 57% ในปี 2560 โดยคาดว่ารายได้จาก Wellness Clinic จะอยู่ที่ 800 ล้านบาทในปี 2560 โดยเราคาดอัตรากำไรหลักลดลง 0.4% YoY มาอยู่ที่ 12.4% ในปี 2559 และปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย 0.1% มาอยู่ที่ 12.5% ในปี 2560 ทั้งนี้เราคาดว่าประมารการณ์กำไรหลักจะเติบโตที่ 6% ในปี 2559 และ 12% ในปี 2560
“ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนรอเวลาเข้าซื้อด้วยราคาที่ต่ำกว่า 21 บาท/หุ้น อ้างอิงจาก PER ณ สิ้นปี 2560 ที่ 35 เท่า ซึ่งเป็นระดับ PER เดียวกับที่หุ้นเคยได้รับการปรับลดระดับการซื้อขายในช่วงข่าวร้ายล่าสุดเมื่อปี 2558 ทั้งนี้เราปรับลดราคาเป้าหมายวิธีคิดลดเงินสด ณ สิ้นปี 2560 ลงเป็น 25 บาท (จาก 26 บาท) สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรล่าสุดของเรา บนสมมติฐาน WACC เท่ากับ 7.0% และ terminal growth ที่ 2.0%”
Credit ภาพ: http://www.swissotel.com