
กองทุน-ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นกองโจรในช่วงที่หุ้นตกหนัก กลับใจมาเป็นฝ่ายซื้อ หลังถูก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เรียกไป “คุมประพฤติ” ...แต่ตัวแปรสำคัญวันนี้คือต่างชาติที่พลิกมาเป็นฝ่ายขายบ้าง ... ประเมินตลาดหุ้นไทย 2 อาทิตย์ส่งท้ายเดือนตุลาคม แกว่งตัวในกรอบ 1,440-1,500 จุด บล.ทรีนีตี้แนะซื้อขายตามกรอบ เน้นๆ กลุ่มพลังงาน กลุ่มหุ้นส่งออกที่รับอานิสงส์จากค่าบาทอ่อน กลุ่มบริษัทที่มีงบไตรมาส 3/2559 โดดเด่น และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีฐานรายได้แน่นอนและให้เงินปันผลในระดับสูง ขณะที่ MBKET ปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นลงเป็น “กลาง” หลังหุ้นลง 11% จับตาปัจจัยสำคัญ ทิศทางค่าเงินบาท กระแสเงินทุนต่างชาติ และผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 ตลอดจนปัจจัยต่างประเทศ
นักลงทุนสถาบัน/กองทุน กลับหลังหัน 360 องศา พลิกกลับมาเป็นฝ่ายซื้อทันที หลังจากที่ผู้จัดการกองทุนถูกเชิญเข้าพบ รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2559 จี้ถามเรียงตัว “ขายทำไม”
อย่างที่นักลงทุนในตลาดหุ้น เห็นๆกันอยู่ว่า ตลาดหุ้นไทย ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพะอย่างยิ่ง ช่วง
ต้นเดือน 6-12 ตุลาคม มีการซื้อขายหุ้นที่ทำให้เกิดความเสียหายกับตลาดหุ้นแบบที่เรียกว่า “เสียศูนย์” ดัชนีตลาดหุ้นหลุดแนวรับสำคัญๆ ลงมาพรวดๆ เกิดความเสียหายอย่างหนักกับนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่ตามเกมนักลงทุนขาใหญ่ และนักลงทุนสถาบันที่มีพฤติกรรมการลงทุนเป็นแบบนักเก็งกำไรที่มีหน้าตักใหญ่กว่าไม่ทัน
สิ่งที่ถูกตั้งข้อสงสัยคือ กองทุนที่เป็นนักลงทุนสถาบันของไทย ทำไมจึงมีพฤติกรรมการลงทุนแบบที่ดักหน้าดักหลัง กล่าวคือ มีการเข้าไปช็อทหุ้น Single Stock ในตลาดล่วงหน้า TFEX แล้วก็มาขายในกระดานหลัก จนทำให้ตลาดปรับลดลงอย่างแรง เช่นช็อทในวันที่ 6-7 ตุลาคม และเช้าวันที่ 10 ตุลาคม มีการขายอย่างหนักทันทีที่เปิดตลาดเช้าลบลงไปเกือบ 54 จุด ลงมาที่ 1,450 จุด จากนั้นก็มีการดันหุ้นสวนขึ้นมาทันที และปิดรอบวันที่ 1,457 จุด โดยเฉพาะวันที่ 12 ตุลาคม ที่ทิ้งหุ้นดิ่งลงมา 99 จุด และดึงกลับไปปิดติดลบน้อยลงเหลือ ติดลบ 36 จุด
ทั้งนี้การขายหุ้นในช่วงดังกล่าวเป็นการขายในช่วงเดียวกับที่ในตลาดมีความสับสนมีการปล่อยข่าวที่ทำให้คนตกใจออกมาเป็นระยะๆ
นักลงทุน และคนที่อยู่ในตลาดมานานๆ แม้แต่นักวิเคราะห์ยังเห็นว่า โดยพฤติกรรมแบบนี้ ถือเป็นการเอาเปรียบนักลงทุนรายย่อยนักลงทุนบุคคลอย่างมาก
แหล่งข่าวเปิดเผยกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่าในวันที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนากรัฐมนตรี เชิญผู้จัดการกองทุนเข้าชี้แจง ในวันที่ 13 ตุลาคมนั้น ได้มีความพยายามชี้แจงจาก นายกสมาคม บลจ. วรวรรณ ธาราภูมิ อย่างมากมายและใช้เวลาในการแจกแจงเป็นฉากๆไม่น้อยเลยทีเดียว ว่าไม่ใช่ความผิดของกองทุน ขณะที่บรรดาผู้จัดการกองทุนจำนวนไม่น้อยรวมทั้งผู้ที่มีความเชื่อมั่นต่อผู้จัดการกองทุนต่างยืนยันว่ามีความรับผิดชอบและรู้สึกเสียใจที่ถูกสังคมคนหุ้นมองว่าเป็นต้นเหตุที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
“มีผู้บริหารจัดการกองทุนรายหนึ่ง พยายามชี้แจงให้เหตุผล กับรองนายกสมคิดว่า กองทุนจำเป็นที่จะต้องขาย เนื่องจากกองทุนต้องบริหารจัดการให้กับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุน กองทุนไม่มีความผิด นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า ที่ขายก็ขายตามคำแนะนำบทวิเคราะห์ ของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ซึ่งบิ๊กของบริษัทหลักทรัพย์แห่งนี้ก็เป็นบุคคลที่ คสช.เองให้ความเชื่อถือด้วยซ้ำ โดยบทวิเคราะห์ดังกล่าวมีการแนะนำว่า หุ้นไทยจะลงไป 1,200 จุด แบบนี้กองทุนก็เลยต้องขาย ... พอเขาอธิบายมาแบบนี้ หลายคนถึงกับอ้าปากค้าง ว่าผู้บริหารกองทุนใหญ่คนนี้พูดเจื้อยแจ้วนกแก้วนกขุนทองออกมา ก็เพื่อผลักความผิดให้คนอื่นและหาแพะ ซึ่งความแย่ก็คือ ผลร้ายไปตกกับคนๆ หนึ่งที่ต้องมารับกรรม คือ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งนั้น ต้องถูกพักงานทันที ทั้งที่การวิเคราะห์ เป็นไปตามหลักวิชาชีพ แต่การประชุมวันนั้นจำเป็นต้องมีใครสักคนรับผิดชอบ และกลายเป็นนักวิเคราะห์ต้องถูกพักงาน” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ หลังจากที่ ผู้จัดการกองทุนต่างๆ เข้าพบ ดร.สมคิดแล้ว ในบ่ายวันที่ 13 ตุลาคมนั้นเองหุ้นก็ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกองทุนเนฝ่ายซื้อสุทธิแบบเต็มสตรีม ขณะที่คนไทยกำลังจดจ่อกับข่าวที่เศร้าเสียใจที่สุดทั้งประเทศ และกองทุน/นักลงทุนสถาบันก็เป็นฝ่ายซื้อต่อเนื่องแต่นั้นเป็นต้นมา แบบ 360 องศา
“แม้ว่า กองทุนจะพยายาม ขอความชอบธรรม ความเห็นใจ ไม่ให้ต่อว่า และอธิบายความว่า คำว่านักลงทุนสถาบัน ไม่ได้มีแต่กองทุนเท่านั้น ยังมีสถาบันอื่นๆอีกมากมาย เช่น ประกันชีวิตประกันภัย แต่คำอธิบายนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะคนในวงการมองเห็นอยู่ว่าเป็นใครที่มีพฤติกรรมขายหุ้นออกมาในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอย่างไร”
แหล่งข่าวคนเดิม ยังอธิบายด้วยว่า การที่กองทุนพลิกกลับลำมาเป็น กองทุนกลับใจ ซื้อหุ้นเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่ 13 ตุลาคมเป็นต้นมา ฝรั่งที่ซื้อมาตลอดแม้ว่าจะมีการปล่อยข่าวที่ทำให้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นออกมาเป็นระยะๆก่อนหน้าก็ยังเดินหน้าซื้อนั้น กลับกลายเป็นฝ่ายพร้อมขาย ฝรั่งขาย กองทุนซื้อ
“ฝรั่งนักลงทุนต่างชาติ ถือไพ่เหนือกว่ากองทุนแล้วตอนนี้ ยิ่งเข้าใกล้วันประชุมเฟด ที่จะประชุมขึ้นดอกเบี้ยปลายปีด้วย ฝรั่งก็พร้อมรินหุ้นขายให้กองทุนรับไปเรื่อยๆ เอาเงินกลับบ้าน เพราะกองทุนเองก็ถูกเรียกคุมประพฤติไปแล้ว ในเวลาที่เหลือต่อจากนี้ฝรั่งต่างชาติ ก็คือตัวแปรสำคัญต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้นด้วย”
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ให้ความเห็นต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงที่เหลือของเดือนตุลาคม 2559 ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 1,440-1,500 จุด ซึ่งในเชิงกลยุทธ์แนะนำให้ซื้อขายตามกรอบดังกล่าว โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) มีความคิดเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา อาจจำเป็นต้องใช้นโยบาย “เศรษฐกิจแรงกดดันสูง (High pressure economy)” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ดังนั้นมีโอกาสที่ Fed อาจบริหารนโยบายการเงินในเชิงรุกและอาจอนุโลมให้เศรษฐกิจมีความร้อนแรงในช่วงแรกของการฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดเริ่มปรับมุมมองคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตเพิ่มมากขึ้นและทำให้ Bond yield สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้นลดลง
ที่มีความชัดเจนแล้วคือ การรายงานตัวเลขอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ของจีนประจำไตรมาส 3/2559 ในวันที่ 19 ตุลาคม ออกมาที่ 6.7% สะท้อนว่าขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ได้เป็นการซ้ำเติมภายหลังจากที่ตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายนที่ผ่านมาหดตัวไปถึง 10% นับว่าแย่กว่าที่ตลาดคาดอย่างมาก ส่งผลให้ไม่มีความกดดันต่อเงินหยวนที่เกรงว่าจะเกิดแรงเทขายเงินหยวนและสกุลเงินอื่นในเอเชียได้
นอกจากนี้หากการโต้วาทีรอบที่ 3 ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลาสเวกัส ในช่วงเช้าวันที่ 20 ตุลาคมตามเวลาประเทศไทย ยังยืนยันว่าทรัมป์ ไม่สามารถดึงคะแนนความนิยมได้เพิ่มขึ้น มองโอกาสที่นางคลินตันจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนจะมีสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งถือเป็นผลดีต่อตลาดทุนทั่วโลก
และปัจจัยสุดท้ายแนะนำให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หลังจากที่ ECB ประชุมไปแล้วเมื่อ 20 ตุลาคม 2559 ในวันที่ 31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน โดยมองมีโอกาส 50-60% ที่ BOJ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับติดลบมากขึ้นจากเดิมที่ -0.1%
“สำหรับกลุ่มหุ้นที่แนะนำให้เข้าสะสมหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาที่บริเวณแนวรับ 1440 จุด ได้แก่ กลุ่มพลังงาน แนะนำ ซื้อ PTT, BANPU เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะสามารถยืนในระดับสูงต่อไปได้จนกระทั่งการประชุมกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน (OPEC) ในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ กลุ่มหุ้นส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาทและมีระดับมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ที่น่าสนใจ ได้แก่ SVI, BR กลุ่มบริษัทที่มีรายได้จากธุรกิจภายนอกเป็นหลักและคาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2559 ที่โดดเด่น ได้แก่ GL, TTCL และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีฐานรายได้แน่นอนและให้เงินปันผลในระดับสูง ได้แก่ GPSC”
ขณะเดียวกันทางด้านของ บล.เมย์แบงก์กิมเอง MBKET มีคำแนะนำอย่างระมัดระวังว่า ช่วงเวลาที่เหลือของเดือนตุลาคม เป็นช่วงแนะนำลงทุนแบบปรับลดน้ำหนักลงทุนลงเป็น “กลาง” จากที่เคยให้ไว้ “กลางบวก”
“ช่วงที่ผ่านมา ภาพของความผันผวนอันเกิดจากปัจจัยภายในประเทศเป็นสำคัญ ส่งผลให้ SET INDEX แกว่งระหว่าง 1,350-1,505 จุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ 12 ต.ค. SET INDEX แกว่งระหว่าง 1,343-1,435 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.30 แสนล้านบาท เป็นสถิติสูงสุดใหม่ของตลาดหุ้นไทย แม้ว่าจะเกิดการฟื้นตัวกลับมาปิด ณ วันที่ 13 ต.ค. ที่ 1,412.82 จุด SET INDEX ปรับตัวลงไปทั้งสิ้น 6.19% หรือ 93.17 จุด จากระดับปิด ณ วันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยที่ปัจจัยแวดล้อมการลงทุนในต่างประเทศทรงตัว มีเพียงค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงในสัปดาห์ล่าสุด พร้อมกับบรรยากาศการลงทุนที่ไม่เอื้อมากนัก อันเนื่องมาจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยในวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา”
อย่างไรก็ตาม MBKET ยังระบุต่อว่า SET INDEX ที่ปรับฐานลงมากว่า 11% นับตั้งแต่ระดับสูงสุดรอบนี้ 1,520 จุด น่าจะสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปมากแล้ว เพียงแต่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจากนี้ไป ได้แก่
1. ทิศทางค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ จะกลับมาทรงตัวถึงแข็งค่าต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนถ่ายอันสำคัญของประเทศไทย
2. กระแสเงินทุนต่างชาติกับการลงทุนในไทย ทั้งตลาดหุ้น / TFEX / ตลาดตราสารหนี้ ในช่วง 1-2 สัปดาห์จากนี้
3. ผลการดำเนินงาน 3Q59 ที่ประกาศออกมา โยเฉพาะของกลุ่มธนาคารที่จะเริ่มทยอยประกาศเราเชื่อว่าหุ้นธนาคารขนาดใหญ่มีแนวโน้มจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทั้งในแง่ของ NPLs และ ผลการดำเนินงานโดยรวม
“ปัจจัยข้างต้นถือเป็นตัวสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศในช่วง 2 สัปดาห์ข้างก็มีความน่าสนใจไม่น้อย ได้แก่ 1. ผลหลังการ Debate ระหว่างนาง Clinton และ นาย Trump เช้าวันที่ 2 ตุลาคม. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการ Debate รอบสุดท้าย ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2, ผลการประชุม ECB ในวันที่ 20 ตุลาคม 3. การประชุมประจำปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน วันที่ 27-28 ตุลาคม เพื่อติดตามนโยบายด้านเศรษฐกิจจากนี้ไปว่าจะไปในด้านใด หลังตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายนหดตัวแรงกว่าที่ตลาดคาดอย่างมีนัยยะสำคัญ ขณะที่ตัวเลขจีดีพีประกาศล่าสุดที่ 6.7%
กลยุทธ์การลงทุนการลงทุนช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า เราแนะนำให้นักลงทุน เน้นสะสมหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ ที่แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 3Q59 จะเติบโตโดดเด่น และแนวโน้มเป็นบวกต่อในปี 2560 พร้อมประเมินกรอบแกว่งของ SET INDEX ระหว่าง 1,400-1,500 จุด”