
อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลแนะ แยกแยะปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้น ในและนอกประเทศ มั่นใจสถานการณ์จะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศได้เร็วขึ้น .. ชี้พฤติกรรมกองทุนที่ขายออกมาถล่มตลาดด้วยการอาศัยข่าวที่คนไทยไม่สบายใจก่อนหน้านี้ ควรจะได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นธรรม ส่วนเงินบาทไทยอ่อนค่าช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รองผู้ว่าแบงก์ชาติ และเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงแนวการลงทุนของไทยที่ยังดำเนินต่อไปในยุคที่ประเทศไทยอยู่ในบรรยากาศความเศร้าเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ ว่านักลงทุนไทยเองควรจะต้องแบ่งภาพออกเป็น 2 ส่วน คือ ภาพในประเทศ และ ภาพต่างประเทศ
สำหรับในส่วนของภายในประเทศ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่านักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเคยมีข้อกังวลว่ากระบวนการเปลี่ยนผ่านทางด้านการเมืองและความมั่นคง ความมั่นใจของเศรษฐกิจในการลงทุนภายในประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นพอเกิดข่าวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในพระบรมโกศก็ต้องยอมรับว่าทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความกังวล มีความไม่แน่ใจพอสมควร และในแง่การบริหารกองทุนในระดับโลก เมื่อเกิดความไม่แน่ใจสิ่งที่เขาจะทำ คือ ลดความเสี่ยงไปก่อน มีการขายก่อน
“บางคนเล่าให้ผมฟังว่า การลงทุนของกองทุนในต่างประเทศบางราย สั่งให้มีการขายโดยที่ไม่กังวลเลยว่าขายแล้วจะกำไรหรือขาดทุน แต่เขาต้องการลดน้ำหนักบางส่วนของพอร์ทในตลาดลง ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับว่า ในแง่ของข้อกังวลของนักลงทุนต่างประเทศ เป็นสิ่งที่เราไปแทรกแซงไม่ได้ เราจะไปห้ามไม่ให้เขามีความกังวล ไม่ให้รู้สึก เป็นไปไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม คิดว่าในเวลาแบบนี้เหตุการณ์ที่ดำเนินมาภายหลังจากการเปลี่ยนผ่านไปแล้ว ทั้งคำชี้แจงของทางภาครัฐบาล และรวมไปถึงการชี้แจงโดยท่านนายกรัฐมนตรี คิดว่าจะทำให้คนไทยและนักลงทุนต่างชาติมีความสบายใจมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของสถานการณ์จะกลับไปปกติอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศได้เร็วขึ้น”
นายธีระชัย กล่าวเสริมว่า ส่วนตลาดหุ้นไทยมองว่ายังมีปริมาณการขายสูง เป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควรในแง่การลงทุนระดับสากล ตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีสภาพคล่องเพราะฉะนั้นลักษณะของการบริหารยังจำเป็นจะต้องทำให้เป็นในรูปแบบของสากล
ทั้งนี้เป็นการถูกต้องที่เปิดตลาดให้มีการซื้อขายกันตามปกติ ไม่ปิดกั้นขบวนการในการแสดงข้อกังวลของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ภายในประเทศ หรือ ต่างประเทศ เกินไปกว่ากฎกติกาที่มีอยู่แล้ว ซึ่งตลาดจะมีเครื่องมือ มีกฎกติกาอยู่แล้วว่าถ้ามีการเกิดเปลี่ยนแปลงราคาในลักษณะที่รวดเร็วเกินไป ก็จะมี Circuit Breaker เพื่อหยุดพักหายใจ เพื่อให้มีการเช็คข่าว มีการตรวจสอบข้อมูล หลังจากนั้นใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่ากันไป ทุกตลาดสากลก็จะทำอย่างนั้น
“ลักษณะของการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นกรณีทั่วไปของประเทศนั้น สิ่งที่ไทยควรจะต้องทำ คือ เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดอธิบายข้อมูล ให้ความเข้าใจกับนักลงทุน ที่สำคัญคือการให้ความมั่นใจ ให้ความชัดเจนในเรื่องต่างๆ และต้องเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่มีความเห็นแตกต่างกันสู้กันไปในตลาด มากกว่าที่จะไปกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่แล้ว ต้องให้ตลาดปรับตัวไปตามสภาพที่เป็นอยู่ อย่างกรณีเรื่องการประชวรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นเรื่องการให้ข้อมูลได้ยาก เป็นเรื่องที่ไม่สามารถออกมาให้ข้อมูลได้บ่อยๆ อย่างที่นักลงทุนอยากจะได้ ในแง่แบบนี้ก็ต้องหาคนที่มีอำนาจหรือคนที่มีบทบาทมาให้ข้อมูลต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงขบวนการในการปรับตัวของประเทศ
ที่ผ่านมาคนที่เกี่ยวข้องก็พยายามให้ข้อมูลแก่นักลงทุนดีที่สุดแล้ว ต้องยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติก็ยังมีข้อกังวลอยู่ ต้องยอมให้นักลงทุนมีการปรับตัวและอย่าไปปิดกั้น”
ส่วนกรณีที่มีการขายอย่างต่อเนื่อง ของนักลงทุนสถาบัน/กองทุน โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จนกลายเป็นข้อสงสัยพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันของไทย ที่ขายในขณะที่มีกระแสข่าว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมีความมั่นใจมากกว่ากองทุนไทย และเป็นฝ่ายซื้อสุทธิสวนกองทุนมาตลอด นายธีรชัย กล่าวว่า ถ้าเป็นคนไทยคงรู้สึกว่าคนไทยน่าจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ดีกว่านักลงทุนต่างประเทศ แต่ต้องเข้าใจว่าทุกกองทุนในเมืองไทย มีนักลงทุนต่างประเทศมาถือหน่วยไม่น้อย และถ้าจะออกจากการถือหน่วย ก็ถือว่าเป็นการบีบมือหรือบีบสถานการณ์ให้กองทุนรวมในไทยไม่มีทางเลือก ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรตรวจสอบความถูกต้องกันต่อไป
“ในเมื่อนักลงทุนต่างประเทศไม่มีความสบายใจหรืออยากจะออกอย่างไรก็ต้องขาย ในส่วนนี้ควรจะต้องมีการพูดคุยและสอบถามหาข้อมูลให้มีความชัดเจน ถ้าเป็นเหตุผลแบบนั้นก็คงเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่คงรับได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่ผู้จัดการกองทุนในเมืองไทยขายแบบไม่มีเหตุผล แล้วตัดสินใจไปถล่มตลาด ก็คงต้องมีการตรวจสอบกันบ้าง
ผมเข้าใจว่าในแง่ของผู้จัดการกองทุนรวมต่างๆ ถือเป็นหม้อข้าวหม้อแกงของเขาเหมือนกัน
ก็เป็นอาชีพของเขา เพราะฉะนั้นคิดว่าถ้าไม่มีเหตุจริงๆ ก็คงไม่มีเหตุผลที่เขาจะไปถล่มตลาด เพราะว่าถล่มไปบางส่วนอย่าลืมว่าหุ้นที่เหลือในมือหากมีราคาก็ต้องลดลงมา ผมเองก็ยังไม่อยากปักใจว่าเป็นกรณีที่ผู้จัดการกองทุนรวมในเมืองไทยตั้งใจที่จะถล่มตลาดเพื่อจะหาประโยชน์ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาอยู่บ้าง”
ในส่วนของ กรณีค่าเงินบาทที่อ่อนตัวรวดเร็วในวันที่ 13-14 ตุลาคม เป็นต้นมา นายธีระชัยให้ความเห็นว่า ไม่น่าจะวิตกกังวลนัก เพราะในความจริงแล้วไม่อยากเห็นค่าเงินบาทแข็งตัวมากด้วยซ้ำไป “เท่าที่มอง คือ ลักษณะของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ หลายประเทศยังไม่ดีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามองประเทศหลักในอาเซียนหรือจีน เวลานี้การปรับตัวในเศรษฐกิจยังต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร และกำลังซื้อทั้งในญี่ปุ่นหรือยุโรปยังไม่ดีขึ้น มีอยู่ประเทศเดียวคือสหรัฐอเมริกา
ในส่วนนี้ค่าเงินดอลลาร์ควรจะแข็งค่าขึ้นไปได้ซักพักแล้ว ค่าเงินดอลลาร์ควรจะผงาดขึ้นตั้งแต่ต้นปี เผอิญเกิดความล่าช้าในการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แทนที่จะแข็งค่ากลับมาอ่อน แล้วกลายมาเป็นเงินไหลออกมาต่อเนื่อง และได้เข้าไปใน Emerging Market และตลาดเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา ... มันผิดวัฏจักร คือ เป็นวัฏจักรเดิมที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาประสบวิกฤตเมื่อหลายปีที่ผ่าน แล้วก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาโดยกดอัตราดอกเบี้ยลงไปต่ำ ส่งผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อน
เพราะฉะนั้นหัวรถจักรที่ผ่านมา คือ Emerging Market เป็นตัวช่วยนำเศรษฐกิจโลกฟื้นขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือว่าไม่ได้เป็นปกติ เหตุการณ์ปกติเศรษฐกิจที่จะต้องนำหัวขบวนเศรษฐกิจโลก คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา เวลานี้ควรจะกลับไปเป็นอย่างนั้นได้ตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว สหรัฐอเมริกาควรจะทำหน้าที่เป็นหัวรถจักรนำเศรษฐกิจโลกขึ้นมาได้แล้ว แต่บังเอิญไม่เกิดอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าค่าเงิน Emerging Market หรือ ค่าเงินในเอเชีย กลับแข็งค่าขึ้นมา กลายเป็นว่าไทยต้องมาแบกภาระแบกเศรษฐกิจโลกอีก 1 ปี เรียกว่าหลังแอ่น เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่ค่าเงินในเอเชียจะเริ่มอ่อนและการลงทุนจะกลับมาเริ่มต้นขยายวงในเอเชีย ทางสหรัฐอเมริกาควรกลับไปเป็นบทบาทหัวรถจักรได้แล้ว