
ศ.ดร.ตีรณชี้ เศรษฐกิจจีนเริ่มโงหัว แต่นักลงทุนต่างชาติยังกังวลเรื่องหนี้ที่พอกพูน ส่วนวิกฤตเศรษฐกิจการเงินยุโรปยังคาราคาซัง ทำให้ต้องเดินหน้ามาตรการ QE ต่อในปีหน้า พร้อมฟันธง....ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า บ่งบอกชัดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค.นี้แน่นอน
ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยกองบรรณาธิการ น.ส.พ. “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาค่อนข้างมีเสถียรภาพว่า ถือเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่กระนั้นนักลงทุนต่างประเทศยังมีความกังวลต่อเรื่องตัวเลขหนี้สินรวมถึงค่าเงินหยวนว่าจะลดลงไป จนทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจการเงินหรือไม่
“ในภาพเศรษฐกิจจริง ตัวเลขค่อนข้างมีเสถียรภาพ อัตราเติบโตประมาณ 6.5-6.6% ซึ่งคงอยู่ในระดับนี้ไประยะหนึ่ง แต่ก็ยังมีความกังวลในภาคการเงิน เนื่องจากจีนมีการก่อหนี้เยอะ ในมุมมองของจีนก็ต้องแยกกัน เริ่มมีคนที่มองว่าสถานการณ์คงไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิด ในระยะหลังจะเห็นว่าตลาดหุ้นของจีนมีการขยับขึ้นบ้างแล้ว”
ส่วนเศรษฐกิจการเงินของยุโรปนั้น ศ.ดร.ตีรณกล่าวว่า นโยบายและท่าทีของนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ยังไม่ค่อยชัดเจนการตัดสินใจในการประชุมครั้งที่ผ่านมาก็ไม่ฟันธงว่าจะทำอย่างไร ไม่มีการประชุมที่เกี่ยวข้องเรื่อง QE ว่าจะเลื่อนหรือไม่ จะลดหรือจะขยายออกไปอีกหรือไม่
“แต่ตลาดก็จับทิศทางได้พอสมควรว่าการพูดแบบนี้แปลว่า QE มีแนวโน้มที่จะเดินต่อไป สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะเศรษฐกิจยุโรปยังมีอุปสรรคค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการเมืองยังไม่ดีในหลายประเทศ และบางประเทศเศรษฐกิจยังไม่ดีมากนักในภาคการเงิน เช่น อิตาลี เพราะยังมีหนี้ที่เป็นปัญหาค่อนข้างสูง ตัวเลขที่ออกมา 1 ใน 4 ของ GDP ถือว่าเยอะ ก็เป็นอะไรที่ตลาดมองว่าทางยุโรปต้องขยาย QE ออกไปอีก ซึ่งการประชุมเรื่อง QE ว่าจะต่อหรือไม่คงจะมีการประชุมในเดือนธันวาคม เพราะฉะนั้นก็มีการคาดการณ์ว่าประชุมคราวหน้าน่าจะมีการประกาศว่าจะมีการขยายไปอีก ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะขยายออกไปอีก 1 ปี และตัวเลขขนาด QE มีความใกล้เคียงสหรัฐอเมริกาหรืออาจมากกว่านิดหน่อย เพราะฉะนั้นสภาพคล่องในยุโรปน่าจะยังขยายมากอยู่ ตรงนี้ก็จะมีผลต่อค่าเงินยูโรซึ่งทำให้ค่าเงินอ่อนลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เห็นได้ว่าลงมาเยอะพอสมควร”
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.ตีรณกล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ-การเงินของยุโรปว่าคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวพอสมควร เพราะปัญหาของยุโรปคือต้องแบกภาระประเทศสมาชิกที่อ่อนแอหลายประเทศ และถึงแม้ประเทศหลักของยุโรปอย่างเยอรมนีจะมีความแข็งแกร่งทางเศรษบกิจการเงินมากกว่าสหรัฐอเมริกา แต่เยอรมนีเพียงประเทศเดียวไม่สามารถแบกรับปัญหาของหลายๆ ประเทศได้
“แม้แต่ฝรั่งเศสที่ติดกับเยอรมนีก็ยังไม่ดี และประเทศที่มีปัญหามากคือกรีซนั้นตอนนี้เศรษฐกิจกำลังถดถอยหนัก อิตาลีก็มีปัญหารุนแรงในเรื่องภาคการเงินและภาคธนาคาร เศรษฐกิจโปรตุเกสอาจจะไม่ใหญ่มากแต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ สเปนดีขึ้นมาหน่อย โดยรวมถ้ามองเป็นภาพเฉลี่ยไม่รู้สึกว่ายูโรโซนมีปัญหามากมาย แต่ถ้ามองลงไปในโครงสร้างแล้วยังมีตัวถ่วงค่อนข้างมาก ตรงนี้ทำให้ยุโรปยังจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการเงินอยู่...
ส่วนมาตรการทางการคลังก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก ในหลายประเทศของยุดรปยังจำเป็นต้องปิดหีบงบประมาณให้ได้ ซึ่งขณะนี้มีเยอรมนีประเทศเดียวที่ทำได้ดีจริง ประเทศอื่นยังติดลบค่อนข้างมาก ยุโรปจึงยังอยู่ในสถานการณ์ที่ว่าซึมไปสักระยะหนึ่ง และต้องติดตามข่าวสารการเมืองว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในทางเศรษฐกิจหรือไม่ แต่โดยทั่วไปก็ยังไม่มีอะไรตื่นเต้นมากนักในเชิงเศรษฐกิจ ก็ค่อนข้างมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง ที่น่ากลัวคือบางประเทศอย่างอิตาลีเท่านั้น ถ้าภาคการเงินภาคการธนาคารอยู่ตัวได้การฟื้นตัวก็กลับมาได้ แต่คิดว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควร”
ส่วนกรณีของเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องนั้น ศ.ดร.ตีรณกล่าวว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างแน่นอน
“ท้ายสุดชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องรอนานมาก ในเดือนธันวาคมคงขึ้นแน่ เพราะฉะนั้นขณะนี้คนคาดคะเนว่าค่าเงินจะต้องปรับตัวเร็วขึ้นกว่าที่เคยคิดไว้ ไม่ต้องไปรอจนถึงเดือนธันวาคม ทำให้ค่าเงินปรับขึ้นไปก่อน แต่การปรับขึ้นไปก่อนไม่ได้หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับแรงในเดือนธันวาคม เพราะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกายังอ่อนแอ การลงทุนยังไม่สามารถที่จะขยายได้ รายได้ของบริษัทก็ยังไม่ค่อยดีมากนัก และยิ่งค่าเงินแข็งมากทำให้รายได้ของหลายบริษัทที่เป็นยักษ์ใหญ่คงจะไม่ค่อยดีนัก เพราะมีรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศด้วย ซึ่งมีผลต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา”