
ธนิต โสรัตน์ เห็นด้วยกับการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ถือเป็นการเฉลี่ยความสุข ช่วยลูกจ้างให้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งคือนายจ้างต้องแบกภาระเพิ่ม อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับกิจการที่ร่อแร่ถึงขั้นต้องปิดกิจการ อีกทั้งช่องว่างต้นทุนค่าจ้างของไทยกับเพื่อนบ้านและคู่แข่งจะขยายห่างออกไปมากขึ้น ผลที่ตามมาคือการย้ายฐานผลิตออกจากไทยจะมากและเร็วขึ้นกว่าเดิม
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” กรณีค่าแรงขั้นต่ำใหม่ที่มีการประกาศปรับขึ้น 5-10 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2560 ว่า เป็นอัตราที่เหมาะสมและเป็นผลมากกว่าอัตราเดิมที่ฝ่ายลูกจ้างขอปรับขึ้น 60 บาท รวมเป็น 360 บาท หรือขึ้นมา 20%
“ถ้าปรับขึ้นตามนั้นผู้ประกอบการที่อยู่ไกลๆ จะอยู่ได้อย่างไร อีกเรื่องคือ การปรับขึ้นมามากแบบนั้นจะมีผลกระทบในเรื่องต้นทุน อย่าลืมว่าไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก ทอผ้า สิ่งทอ รองเท้า แต่เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าราคาต่ำ ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นไปจะกระทบกับนายจ้าง ก็ต้องเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย อย่างฝั่งนายจ้างถ้าขึ้น 1 บาทก็กระทบ เพราะโรงงานขนาดเล็กส่วนใหญ่ขาดทุนอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นมา 1 บาทก็ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น…
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-10 บาทนั้น โดยส่วนตัวก็รับได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นการเฉลี่ยทั้งประเทศ 3 อัตรา ตั้งแต่ 5 บาท 8 บาท และ 10 บาท เป็นการเฉลี่ยความสุขกัน แต่นายจ้างก็ต้องเจ็บตัวแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ขาดทุนอยู่แล้ว แต่ก็ต้องเห็นใจทางลูกจ้างด้วย เพราะมีภาระอะไรต่างๆ แต่เมื่อลูกจ้างได้ค่าแรงสูงๆ ก็จะไปกระทบต้นทุน ที่สุดแล้วต้นทุนนี้ก็ไปสะท้อนถึงตัวเลขคนว่างงานในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม มีคนตกงานว่างงานและมาขอรับเงินกับประกันสังคมกว่า 160,000 คน เทียบกับปีที่แล้วทั้งปีอยู่ที่ 120,000 คน แต่ปีนี้ทั้งปีมีกว่า 200,000 คน คือเพิ่มขึ้นเท่าตัว ตัวเลขจากประกันสังคมก็ชัดเจนอยู่ ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าโรงงานปิดกิจการมาก ขาดทุน ลดกำลังการผลิต ในช่วงเวลาแบบนี้ต้องช่วยประคับประคองไปด้วยกัน”
นายธนิตกล่าวด้วยว่า เมื่อมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทางผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัว แต่ในความเป็นจริงนั้นค่าจ้างในเขตกรุงเทพฯหรือในหลายๆ จังหวัด ซึ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมและบริการ จะสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำเดิมที่ 300 บาทอยู่แล้ว แต่ประเด็นที่ไม่ค่อยพูดกันคือแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในไทย มีการจดทะเบียนถูกต้องประมาณ 1.2 ล้านคน คือกลุ่มแรงงานที่จะได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
“สิ่งที่จะตามมาคือระยะห่างของค่าแรงระหว่างในประเทศกับนอกประเทศจะยิ่งห่างออกไป หมายความว่าค่าแรงในพม่า กัมพูชา ที่เดิมต่ำกว่าไทยอยู่แล้ว 1 เท่าตัวนั้น ช่องว่างนี้จะห่างมากขึ้น พอห่างมากขึ้นอุตสาหกรรมจะไหลออกนอกประเทศ และจะมีการย้ายฐานการผลิตเร็วขึ้น ลูกจ้างต้องมองด้วยว่าค่าแรงเกินฐานไปแล้ว คนที่ออกมาเข้าแถวกันนั้นต้องถามว่าได้วันละเท่าไหร่ ไม่ใช่วันละ 300 บาทแน่นอน อย่างโรงงานแถวพระประแดงขึ้นป้ายแข่งกันเลย 350-370 บาท เพราะคนไทยสมัยนี้มีการศึกษาสูงไม่ค่อยมาทำงานในโรงงาน แต่ไทยจะไปว่างงานในอุดมศึกษา เรียนจบสูงแต่ไม่ตรงกับสาขา แบบนี้ตกงานกันมาก ส่วนใหญ่แล้วจะไปโทษทั้งระบบคงไม่ได้คือเป็นดีมานด์-ซัพพลาย คือตลาดจะเลือกลูกจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างไปเลือกนายจ้าง…
“การปรับค่าแรงขึ้น 5-10 บาท โดยส่วนตัวเห็นด้วย และทำให้การลงทุนกระจายไปในต่างจังหวัด คือเมื่อให้เท่ากันก็ไม่รู้ว่าจะไปลงทุนไกลๆ ทำไม เพราะยิ่งไกลต้นทุนโลจิสติกส์ก็สูงขึ้น อย่างไปลงทุนที่จังหวัดตาก จะต้องส่งของจากแหลมฉบังไปจังหวัดตากประมาณ 400 กิโลเมตรทำไม เวลาจะส่งออกก็ต้องไปที่ท่าเรือแหลมฉบัง ต้นทุนเพิ่มเป็น 2 เท่า เท่ากับแพ้ตั้งแต่แข่งกับโรงงานที่อยู่ในอยุธยาแล้ว แต่ในอีกมุมหนึ่งคือค่าจ้างแบบนี้พอที่จะทำให้โรงงานในพื้นที่ได้เกิดบ้าง โรงงานท้องถิ่นมีโอกาสค้าขายได้ หรือโรงงานไปตั้งตรงนั้นเพื่อเอาค่าแรงถูก ที่สำคัญคนต่างจังหวัดจะได้ทำงานใกล้บ้านได้ อยู่กับครอบครัว ไม่ใช่วันปีใหม่ สงกรานต์ ถึงได้กลับบ้าน คุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยดี”
ส่วน 8 จังหวัดที่ไม่การปรับค่าแรงขั้นต่ำนั้น นายธนิตกล่าวว่าเป็นเรื่องของไตรภาคีระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และฝ่ายจังหวัด แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเพราะหลายจังหวัดใน 8 จังหวัดที่ไม่มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นเขตที่มีการจ้างงานค่อนข้างสูง
“อย่างสิงห์บุรีมีโรงงานจำนวนมาก นครศรีธรรมราชมีโรงงานยางและไม้ยาง ตรังมีโรงงานอาหารทะเลหรือยางพารา ผมเองยังไปตั้งโรงงานธุรกิจส่วนตัวที่นี่เช่นกัน ระนองมีโรงงานทำปลาป่นหรือทำอาหารประมง ส่วนตัวเลขที่มันแปลกๆ คือแรงงานที่ได้ปรับเพิ่ม 5 บาทอย่างจังหวัดอ่างทองที่ติดกับพระนครศรีอยุธยาที่มีโรงงานจำนวนมาก แต่อ่างทองอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ได้ปรับเพิ่ม 5 บาท ทั้งๆ ที่อ่างทองอยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ และควรอยู่ในกลุ่มของพระนครศรีอยุธยา และโรงงานก็ขยายมาทางอ่างทองเยอะ รวมถึงที่ดินเริ่มมีราคาแพง…
ส่วน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้การกินอยู่ก็ยากลำบากอยู่แล้ว มีปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง อย่างโลจิสติกส์ที่ไปมีราคาแพงมาก กลางคืนก็ไม่กล้าวิ่ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงถือเป็นเขตเศรษฐกิจที่ต้องใช้การบริหารแบบไม่เหมือนจังหวัดทั่วๆ ไป อย่างการท่องเที่ยวจะทำให้เกิดจะต้องมีระบบชดเชย ปกติจะไม่มีใครไปเพราะเพียงแค่อยู่ก็ยากแล้ว รวมถึงระยองหรือชลบุรีที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้เพียง 5 บาท ซึ่งระยองค่าจ้างแพงอยู่แล้ว หาคนก็ยาก สมุทรสงครามคนงานก็เต็มไปหมด ก็ต้องมองในเรื่องไตรภาคีจังหวัด เป็นการกระจายอำนาจไปแต่ละพื้นที่เพื่อดูแลกันเอง ก็อาจมีการตกลงกันแบบนั้น”
ทั้งนี้ นายธนิตกล่าวด้วยว่า การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำนั้น เป็นคนละแนวทางกับนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 เพราะอุตสาหกรรม 4.0 จะเน้นเรื่อง Super Cluster หรืออุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ไบโอเทค ที่ใช้หุ่นยนต์ ซึ่งรัฐบาลและบีโอไอส่งเสริม เช่น ใน 3 จังหวัดอุตสาหกรรมใหม่ คือระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา จะเน้นอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็น Super Cluster ซึ่งจะไม่ใช้แรงงานมากอยู่แล้ว แต่ค่าจ้างแรงงานจะแพงอยู่แล้ว 600-700 บาท หรือเฉลี่ย 30,000-40,000 บาทต่อเดือน เพราะเป็นแรงงานคุณภาพ
“อุตสาหกรรม 4.0 ไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายเหมือนกับไปปาฐกถา ทำไมคนอยากขับรถแพงคันละ3-ล้านบาท ก็เพราะอยากใช้รถที่มีเทคโนโลยีสูง แต่ทำไมยังนั่งรถเมล์อยู่ บางคนยังขับรถญี่ปุ่น 700,000-800,000 บาท ทั้งๆ ที่ทุกคนก็อยากจะมีรถยนต์ไฮเทคทั้งนั้น ก็เหมือนกับอุตสาหกรรมที่ทุกคนก็อยากลงทุนเครื่องจักร 30 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าเปลี่ยนระบบทั้งไลน์อย่างน้อยต้องใช้เงิน 300-400 ล้านบาท พูดง่ายคือเทคโนโลยีคือต้นทุน บางอุตสาหกรรมไปได้เพราะผลิตสินค้าที่มีราคาแพง มีตลาดรองรับ ต้องบอกเลยว่าอุตสาหกรรม 4.0 เป็นต่างชาติเป็นแบรนด์ OEM ทั้งนั้น แต่สินค้าไทยอย่างทำรองเท้า หากจะไปใช้หุ่นยนต์ก็คงยาก หรือทำอาหารทะเลบรรจุกระป๋องก็ใช้หุ่นยนต์ไม่ได้ทั้งหมด และยังต้องไปแข่งกับเวียดนามซึ่งต้นทุนถูกว่าเพราะยังใช้แรงงานอยู่…
“การซื้อเครื่องจักรก็เป็นต้นทุนของคนซื้อ แต่ต้นทุนที่เพิ่มมาจะไปใส่ในราคาสินค้าไม่ได้ เพราะตลาดไม่ใช่เป็นตลาดบนหรือตลาดเทคโนโลยีสูง ส่วนใหญ่สินค้าของเรามีคู่แข่งที่ยังเป็นเพียงอินเดีย อินโดนีเซีย จึงไม่ใช่จะทำกันง่ายๆ ถึงแม้จะมีทุน เพราะข้อเท็จจริงคือบางอุตสาหกรรมทำเป็น 4.0 ไม่ได้ เช่น อาหารทะเลต้องมีการแกะก้างปลา แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปก็มีบางส่วนที่ยังใช้มือ ใช้แรงงานคน”