
ชาวนาคือผู้ทำนาปลูกข้าว เลี้ยงเรามาจนเป็นหนุ่มสาว ยันจนเราเฒ่าแก่ชรา แต่เหตุไฉนชาวนาไทยอับจนเรื่อยมา....
เสียงเพลงเศร้าเคล้าน้ำตาของชาวนามาพร้อมกับลมหนาวเดือน ต.ค. 2559 เพราะ “ราคาข้าวตกต่ำที่สุด” ในรอบ 50 ปี ข้าวเปลือกเหลือเพียงกิโลกรัมละ 5 บาทเท่านั้น
ที่สำคัญ ราคาตกต่ำยังไม่พอ แต่ยังถูกซ้ำเติมจาก “ลมการเมือง” ของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่ต่างพยายามออกข่าวข้าวเปลือกราคาตก หวังดิสเครดิตรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ข้อเท็จจริงนั้น ราคาข้าวตกต่ำคือทุกข์ของชาวนาอย่างแท้จริง
แต่ทุกข์ของชาวนาจะใช่ทุกข์ของแผ่นดิน ตามที่ทุกฝ่ายว่าไว้หรือไม่ เพราะฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างมองว่าเป็นเรื่องการเมือง
ส่วนชาวนา ที่ได้รับความเดือดร้อนกำลังจะตายลงอย่างช้าๆ
ถามว่าสาเหตุมาจากอะไร ก็ต้องตอบว่าเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะต้องไม่ลืมว่า “ข้าว” ก็มีสถานะไม่ต่างจากพืชผลทางการเกษตรประเภทอื่นๆ ที่ในแต่ละปีมีราคาขึ้น-ลงตามกลไกของตลาด
ขณะที่ราคาข้าวปีนี้ตกต่ำ กลับมีผลผลิตมากกว่าทุกปี โดยข้อมูลจากหลายแหล่งที่มาระบุว่า ราคาซื้อขายข้าวล่วงหน้า ณ เดือน ธ.ค. 2559 ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ส่งออกซื้อข้าวสารหอมมะลิจากผู้ประกอบการโรงสีอยู่ที่ 15.80 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อคำนวณออกมาเป็นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาจะอยู่ที่ 8,000 กว่าบาทต่อตันเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิที่ซื้อขายล่วงหน้ามีราคาต่ำไปแตะระดับ 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งถือเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ต่างจากราคาซื้อขายล่วงหน้าตามปกติ ซึ่งอยู่ที่ 750-775 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ราคาข้าวปีนี้ตกต่ำ สืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่กำลังอยู่ในภาวะตกต่ำ ขณะที่ราคาข้าวของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นคู่แข่งทางการตลาด เช่น อินเดีย และเวียดนาม มีราคาถูกกว่าข้าวไทยค่อนข้างมาก นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ส่งออกมีการกดราคาเพื่อจะได้แข่งขันกับประเทศเหล่านี้ได้ จึงต้องรับซื้อข้าวในราคาที่ถูกตามไปด้วย
เมื่อฟังเหตุผลในมุมนี้แล้ว ราคาข้าวตกต่ำ จึงไม่ใช่เรื่องการเมือง
ไม่อย่างนั้น พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ลงมานั่งเป็นประธานเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เพื่อรีบกอบกู้สถานการณ์ราคาข้าวดิ่งเหว พร้อมกับทุ่มงบประมาณ 8.6 พันล้านบาท เดินหน้าโครงการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเหนียวปี 2559/60 ในราคา 13,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก และให้เริ่มดำเนินการทันทีตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2559-30 เม.ย. 2560 หรือ 6 เดือนเต็ม
การดำเนินการดังกล่าว แทบไม่ต่างจากกรณีจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังโดนคดีเรียกค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาท เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกว่า จำนำยุ้งฉางแทน เพราะกลัวซ้ำรอย
ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้ว การดำเนินการดังกล่าวคือการแทรกแซงกลไกการตลาด ทำให้ราคาข้าวไม่เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง
งานนี้ ยิ่งลักษณ์ อาจมีเฮ เพราะรัฐบาลปัจจุบันมีการดำเนินการเข้าข่ายในลักษณะเดียวกัน
ส่วนโรงสี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งทหารไล่บี้กดดัน ไม่ให้กดราคารับซื้อข้าวจากชาวนา ทำไปทำมาสุดท้ายความผิดไม่ได้ตกอยู่ที่โรงสี
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ หรือ TDRI อธิบายว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการเก็งกำไรในตลาดข้าว เนื่องจากข้อมูลการพยากรณ์เกี่ยวกับผลผลิตไม่ชัดเจน จึงเกิดการเก็งกำไรแบบต่างคนต่างเก็ง ซึ่งทำให้ราคาข้าวลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเราต้องเข้าใจว่าผู้ส่งออก โรงสี หรือพ่อค้าท้องถิ่นเอง กำไรส่วนใหญ่ของเขามาจากการเก็งกำไรเป็นเรื่องปกติของทุนนิยมและสินค้าการเกษตร เขาก็ต้องพยายามซื้อให้ถูกแล้วขายให้แพง ถามว่าในตลาดหุ้นที่มีการเก็งกำไรกันผิดไหม ก็ไม่ผิด เพราะฉะนั้นพ่อค้าเขาจะเก็งกำไรด้วยการซื้อข้าวมาเก็บไว้เพื่อสีข้าวขายตอนราคาแพงก็ไม่ผิด เพราะถ้าเขาเก็งผิด เขาก็ขาดทุน ถือเป็นความเสี่ยงที่เขาต้องแบกรับเช่นกัน....ผมอยากบอกว่าอย่าพยายามหาคนผิด หรือแพะรับบาป เพราะมันไม่ใช่ว่าคนใดคนหนึ่งมีอำนาจผูกขาด แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันมาเป็นทอดๆ”
คงชัดเจนในคำอธิบาย ซึ่งถ้ารัฐบาลมองทุกอย่างเป็นเรื่องการเมืองของฝ่ายตรงข้ามหมด ชาวนาก็ลำบาก เพราะเอาเข้าจริงไม่ใช่มีแค่ราคาข้าว แต่ราคาผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม ข้าวโพด ก็มีปัญหา และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็แก้ไม่ตกจนกลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลเอง
จริงอยู่ ไม่มีรัฐบาลไหนอยากให้เกิดกรณีดังกล่าว แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ "กึ๋น" หรือฝีมือของรัฐบาลนั่นแหละที่จะหยุดทุกข์เข็ญของชาวนาไม่ให้บานปลาย...ได้หรือไม่!