top of page
image.png

จี้ไทยรีบคุยมะกัน..ธุรกิจเร่งปรับตัว - รับถนนทุกสายมุ่ง USA


ปธน.ทรัมป์ไม่ธรรมดา เขาคือผู้พลิกโฉมหน้าการเมือง-เศรษฐกิจโลก 3 ช่วงเปลี่ยนผ่านยุคทรัมป์ จะวุ่นวายช่วงเดือนแรก เข้าสู่ยุคปรับตัวและเปลี่ยนผ่านใน 6 เดือนแรกปี’60 ถ้าเจ๋งจริงอเมริกาจะกลับมายิ่งใหญ่เฟื่องฟูใน 6 เดือนหลังปี’60 จากนี้ถนนทุกสายจากทั่วโลกจะมุ่งหน้าสู่อเมริกาซึ่งถือไพ่เหนือกว่า ความขัดแย้งการเมืองโลกอเมริกา-รัสเซีย-จีนจะลดลง ส่วนไทยต้องตั้งหลักกำหนดยุทธศาสตร์การค้าที่ชัดเจน เพื่อจับเข่าคุยกับอเมริกาโดยเร็ว ขณะที่ภาคเอกชนต้องปรับตัวสู่การค้ายุคเทคโนโลยีดิจิทัล

นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงสถานการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงผู้นำโลกอย่างสหรัฐอเมริกาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะใช้นโยบายที่ทำให้มีการการเปลี่ยนแปลงของสหรัฐอเมริกาและโลกในลักษณะที่เรียกว่า เปลี่ยนแปลงจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องเศรษฐกิจการค้าและการเมืองของโลกด้วย

“ไม่ใช่ไทยประเทศเดียวที่ได้รับผลกระทบทุกประเทศส่วนใหญ่คงได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ทั้งผลกระทบทางตรงและผลกระทบทางอ้อม ผลกระทบทางตรงคือการค้าหรือความสัมพันธ์ทางการเมืองที่จะต้องมีการเจรจาพูดคุยกันซึ่งจะต้องมีผลกระทบ ส่วนผลกระทบทางอ้อมคือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก”

ในส่วนของผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกนั้น นายนพพรกล่าวว่าต้องจับตาดูเป็น 3 ระยะ

ระยะแรก ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าทำเนียบฯในวันที่ 10 มกราคม 2560 คงจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงพอสมควร อย่างที่ทราบกันว่ามีเหตุการณ์ความรุนแรงในหลายรัฐ บางประเทศก็ไม่ค่อยยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ เช่น กลุ่มยุโรป หรือญี่ปุ่นก็เป็นห่วงในเรื่อง TPP (ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ขณะที่จีนและรัสเซียก็รอดูท่าทีกันอยู่ว่าจะเดินไปกันอย่างไร คงจะมีการเปลี่ยนแปลงกันพอสมควร ซึ่งจะเห็นได้จากเรื่องตลาดหุ้น เรื่องค่าเงิน จากเดิมมองว่าถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ มาจะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา ปั่นป่วน แต่สักพักตลาดหุ้นก็มีการดีดกลับขึ้นมา กลายเป็นว่าตลาดการเงินหรือเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาตอบรับดี เพราะฉะนั้นช่วงนี้เป็นช่วงผันผวนพอสมควรก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าไปสาบานรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี อันนี้คือช่วงแรกที่มีความผันผวน...

ระยะที่ 2 ก็ยังมีความผันผวน คือ 6 เดือนแรก ไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2 ของปี 2560 เป็นช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะนำนโยบายที่ตัวเองประกาศไว้ออกมาใช้ จะมีมาตรการต่างๆออกมา ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูช่วง 2 ไตรมาสนี้ เพราะสิ่งที่พูดไว้บางคนมองว่าทำไม่ได้ พูดได้แต่อาจจะทำจริงไม่ได้ เช่นจะยกเลิก TPP ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย นโยบายหลายอย่างที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอย่างสุดโต่ง ก็มองว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ตรงนี้เป็นคำมั่นสัญญาที่พูดไว้ก็ต้องพยายามทำ ขณะเดียวกันก็คงไม่ง่ายอย่างที่คิด...

เพราะฉะนั้นในช่วง 6 เดือนแรกเป็นช่วงของการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามผลักดันนโยบายต่างๆให้ออกมาเป็นรูปธรรม และต้องระวังสิ่งที่ประกาศไว้ตอนที่ได้รับชัยชนะและออกมาพูดสุนทรพจน์ไว้ดีมากซึ่งทำให้ตลาดกลับขึ้นมาได้ คือพูดถึงว่าจะดูแลคนในสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศ จะพยายามจะทำให้เกิด Utility จากประเทศที่เกิดจากความแตกแยก ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีสัญญาณอยู่ ต้องดูว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำอย่างไร จะทำอย่างละมุนละม่อมหรือจะมีกติกาอย่างไร เพราะฉะนั้นในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ต้องจับตาดูและสถานการณ์จะยังไม่นิ่ง เศรษฐกิจโลกอาจจะไม่โตอย่างที่คาดไว้ เพราะตอนแรกมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะกลับมาดีในไตรมาส 4 ของปีนี้ และจะดีขึ้นในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปี 2560 แต่จากการที่ต้องรอนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ และความชัดเจนทั้งภายในและภายนอกว่าจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ก็ยังจะชะลอตัว ยังไม่โตเต็มที่นักทั้งสหรัฐอเมริกาและทั้งโลก..

ระยะที่ 3 ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถทำได้อย่างชัดเจนอย่างที่พูดไว้ แล้วตลาดมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะกลับมาดีจากการใช้ภาษีสนับสนุนการค้ามาลงทุนในประเทศ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะสร้างงานในประเทศให้เศรษฐกิจสะพัด ซึ่งก็มีความเป็นไปได้จริง คิดว่าในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2560 เศรษฐกิจจะกลับฟื้นขึ้นมา แต่ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้ช้าก็อาจเป็น 1 ปี คือไปดีอีกปีต่อไป แต่ถ้าทำได้เร็วช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ก็เห็นผลแล้ว”

อย่างไรก็ตาม นายนพพรกล่าวด้วยว่าโดยส่วนตัวมองว่าถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้ตามที่ประกาศไว้ เป็นไปตามที่ประชาชนอเมริกาอยากเห็น จะทำให้ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เป็นชัยชนะของทรัมป์เพียงคนเดียว แต่เป็นชัยชนะของประชาชนส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่อยู่นอกเมืองใหญ่และต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะคนอเมริกาประสบปัญหาเศรษฐกิจมาตลอดตั้งแต่สมัย บารัก โอบามา จึงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่อยากเห็นวิถีชีวิตอย่างเดิมอีกต่อไป

“สิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ นำมาพูดเป็นความจริงทั้งนั้น ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาจริง ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้สำเร็จ สหรัฐอเมริกาจะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง และกลับมาแบบไม่ใช้การเมืองหรือใช้นโยบายที่ซิกแซกให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ โดยโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปลี่ยนการรบให้เป็นการค้า เปลี่ยนจาก Free Trade ให้เป็น Fair Trade มีการเจรจาต่อรองตรงไปตรงมา เรื่องการเมืองจะมีการเผชิญหน้าลดลงระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย จีน หรือประเทศต่างๆ ความตึงเครียดในโลกน่าจะลดลง เพราะจะมีการเจรจาพูดคุยกันมากกว่า”

ส่วนผลของการเปลี่ยนแปลงจะกระทบต่อไทยนั้น นายนพพรกล่าวว่า ผลกระทบทางตรงคือการส่งออกจากไทยไปสหรัฐอเมริกาที่น่าจะชะลอตัวในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปี 2560 เช่นเดียวกับการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัวด้วยเช่นกัน แต่ไทยยังมีการส่งสินค้าไปในอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เพื่อส่งไปผลิตและส่งต่อไปสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ทั้งนั้น จึงยังมีผลกระทบทางอ้อมในกรณีที่ไทยส่งสินค้าไปในประเทศอื่นที่นำสินค้าไทยไปผลิตและส่งต่อไปสหรัฐอเมริกาอีกส่วนหนึ่ง

“แต่จะมีผลดีต่อไทยเรื่องหนึ่ง คือ TPP ที่เชื่อว่าโดนัลด์ ทรัมป์ คงจะไม่เดินเต็มรูปแบบ เดิมประกาศไว้ว่าไม่เอาแน่นอน ก็อยากจะดูว่าไม่เอาอย่างไร ซึ่งญี่ปุ่นก็เป็นห่วงมากว่าถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เอา TPP จะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าคงมีการเจรจาการค้ากันทั้งหมด นี่คือสิ่งที่พูดไว้ว่าจะทำให้สหรัฐอเมริกากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ดูง่ายๆพอโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดี ทุกประเทศก็อยากเข้ามาคุยกับสหรัฐอเมริกากันหมด หมายถึงสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนจากการที่ต้องไปคอยตามคุยกับประเทศอื่นๆ เปลี่ยนกลับมาเหมือนถือไพ่นำ ทุกคนต้องมาเจรจาด้วย เริ่มเรียกความเข้มแข็งกลับมา อันนี้คือจุดเปลี่ยนของโลกที่โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะปรับเปลี่ยนรูปแบบของโลกที่ไม่ต้องการให้จีนเข้ามาเป็นคนกำหนดกติกาโลก โดยโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกลับมาทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถกำหนดบทบาทใหม่แบบที่ไม่ใช่วิธีแบบบารัก โอบามา ซึ่งใช้การเมืองหรือไปสร้างความตึงเครียด เช่นผลประโยชน์ TPP ก็เป็นผลประโยชน์ 12 ประเทศ ที่เอาไปล่อให้มาเป็นพวกตัวเองเพื่อที่จะต่อสู้กับจีน แต่ทำให้คนสหรัฐอเมริกาเสียเปรียบ…

เพราะฉะนั้น TPP ที่เคยมีผลกระทบต่อไทยที่ไม่ได้เข้าไปร่วมตั้งแต่แรก ทำให้เดิมจะเสียเปรียบเวียดนามหรือมาเลเซีย คนก็จะไม่มาลงทุนหรือค้าขายกับไทยใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่พอยกเลิก TPP ก็จะเป็นผลดีต่อไทย แต่สิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ทำอาจจะมีเงื่อนไขที่มีความเด็ดขาดและรุนแรงมากกว่า TPP ก็อาจจะเป็นได้ เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ จะเสนอเงื่อนไขให้แต่ละประเทศรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งได้มีการพูดถึง Fair Trade ก็คงหมายถึงสิ่งที่สหรัฐอเมริกาต้องการคือผลประโยชน์กับคนของเขา และก็พูดถึงการต้องอยู่บนพื้นฐานแบบ Win-Win คำถามคือตรงนี้คืออะไร...

ดังนั้น ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ดูเหมือนโอกาสจะดีขึ้นในระยะยาว แต่ในระยะสั้นจะมีปัญหาปั่นป่วนแน่นอนในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2560 แต่ถ้าเมื่อไหร่โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งตัวได้และสามารถประกาศนโยบายที่ชัดเจน ใครเร็วคนนั้นได้เปรียบ”

จากเงื่อนไขดังกล่าว นายนพพรกล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องตั้งหลักแล้วว่าจะเจรจากับสหรัฐอเมริกาในเรื่องใดบ้าง จะเจรจากันอย่างไร โดยจะต้องร่วมเจรจาโดยเร็ว ชัดเจน และสรุปผลเจรจาให้จบอย่างรวดเร็ว

“รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์การค้า อย่างที่ท่านนายกรัฐมนตรีพูดว่าไทยจะเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จะมีการค้าเป็นกลาง ตอนนี้ต้องรู้และกำหนดได้แล้วว่าอะไรคือยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และยุทธศาสตร์นั้นจะมีผลประโยชน์อะไรต่อไทย ถ้าจะเจรจากับสหรัฐอเมริกาอะไรที่จะยอมให้เขาและอะไรที่เขายอมให้เรา ต้องรีบทำให้ชัดเจนไม่อย่างนั้นจะเสียเปรียบประเทศอื่น ส่วนภาคเอกชนต้องเตรียมปรับตัว ต่อไปจะมีเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรม ดิจิตอล เข้ามา และเศรษฐกิจที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะนำเข้ามาคือเศรษฐกิจในอนาคตที่ไปไกลทางด้านเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นภาครัฐและภาคเอกชนต้องเตรียมความพร้อมและต้องมีความรวดเร็วที่จะคุยกับสหรัฐอเมริกาให้จบโดยเร็ว”

 
bottom of page