ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ในภาวะฝรั่งทิ้งหุ้นไทย จ่าฝูงกลุ่ม TIP ไปแล้วกว่า 45,000 ล้านบาท เฉพาะพฤศจิกายนยังไม่เต็มเดือนขายไปแล้ว 30,000 ล้านบาท ภายใต้ภาวะ “เซลส์ ออฟ” จ่อคิวด้วยปัจจัยกดดันตลาด-การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด 13 ธันวาคม แต่ตลาดหุ้นไทยกลับพลิกเป็นบวกขึ้นมาหน้าตาเฉย ด้วยการไล่ซื้อของ กลุ่มสถาบันและป็อบเทรด ทำให้ดัชนียูเทิร์นขึ้นมาเหนือ 1,480 จุดได้อย่าง งงๆ ... ด้านตลาดหุ้นอเมริกาขานรับประธานาธิบดีคนใหม่ ไต่ระดับทำสถิติสูงสุดใหม่ทำออลไทม์ไฮ ไปเรียบร้อย และคาดว่าจะขึ้นต่อด้วยแรง “ซานต้าทรัมป์แรลลี” ท่ามกลางความสบายใจของนักลงทุนที่จะเห็นประชุมผู้ผลิตน้ำมัน 30 พฤศจิกายนแบบ “จบสวย”
ตลาดหุ้นไทยกิ๊วก๊าวน่าดูในช่วงส่งท้ายเดือนพฤศจิกายน ทั้งๆที่เพิ่งถูกประเมินว่า สถานการณ์ ปัจจัยต่างๆกดดันทางลบมากกว่าบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการขายหุ้นไทยออกไปของนักลงทุนต่างประเทศ แบบที่ขายออกทุกวันๆ โดยซื้อครั้งสุดท้ายเมื่อ 13 ตุลาคม 2559 แล้วจากนั้นก็ขายมาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีที่ท่าว่าจะกลับมาซื้อหุ้นไทยได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งเป็นช่วงปลายปีที่มักมีการซื้อขายน้อยลงตามธรรมชาติอยู่แล้ว
กระแสฟันด์โฟลที่ปรับออกในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา จนทำให้นักวิเคราะห์เริ่มมองตาปริบๆ ว่าหุ้นไทยน่าจะถูกกดลงมาอีกไม่น้อย เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้อให้ความสำคัญมากๆ โดยนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ตอนที่นักลงทุนสถาบัน/กองทุนไทยขายอย่างบ้าเลือดก็ยังปักหลักซื้อนั้น เริ่มพลิกกลับมาเป็นฝั่งขายตลอดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นมา ซึ่งปรากฏชัดว่า นักลงทุนหันเหที่จะนำเงินกลับไปลงทุนตลาดอเมริกาหุ้นมากกว่า โดยค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ค่าเงินบาทก็อ่อนลงทุกทีๆ
จากรายงานการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ พบว่า ที่เคยซื้อสุทธิ มาจากต้นปีกว่า 130,000 ล้านบาท เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2559 นั้น ได้ถูกขายออกไปเรื่อยๆ จนวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 พบว่านักลงทุนต่างชายมีสถานะซื้อสุทธิเหลือเพียง 85,000 ล้านบาทเศษ หมายความว่าขายออกไปแล้วกว่า 45,000 ล้านบาท โดยจำนวนนี้เป็นของเฉพาะเดือนพฤศจิกายน ที่ยังไม่เต็มเดือนที่นักลงทุนต่างชาติขายออกถึงเกือบ 30,000 ล้านบาท เป็นภาวะที่มีการ เซลส์ออฟ ชัดเจนมาก และยังมีแนวโน้มต่อไปว่าไทยอาจถูกขายได้อกต่อไป ในฐานะประเทศกลุ่ม TIP ที่เข้ามาซื้อหุ้นไว้เยอะและมีกำไรจากการขายออกไปก่อน เนื่องจากมีการประเมินว่า นโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น เป็นผลทางลบต่อตลาดหุ้น อีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต
ขณะเดียวกันกับที่ยังมีปัจจัยลบกดดัน รอท่าอยู่ที่เคยเป็นประเด็นให้หวาดกลัวกันมากๆ ว่าจะเกิดกระแสทุนไหลกลับ นั่นคือ กรณีการขึ้นดอกเบี้ยขอเฟด ซึ่งมีความแน่นอนสูงมากว่า จะมีแนวโน้มความเป็นไปได้ที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ยเฟด ในการประชุม 13 ธันวาคมนี้ 80-90%
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสนใจว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงสัปดาห์เศษปิดท้ายเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา หุ้นกลับขึ้น มีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างน่าสนใจ จากฝั่งของนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์(ป็อบเทรด) จนกระทั่งดันดัชนีให้กลับมาเหลือ 1,480 ได้อย่างน่างงงัน
ทั้งนี้มีการพูดคุยกันในวงการค้าหุ้นว่า หุ้นที่ขึ้นบวกสวนกระแส ปัจจัยลบต่างๆ นี้ เป็นเพราะบรรดขาใหญ่ในไทยทั้งหลาย ต่างมีความมั่นอกมั่นใจมากว่า กำลังจะมี “ข่าวดี” เกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นผลบวกให้ ดัชนีหุ้น พลิกกลับเป็นบวกได้อีก จึงกระโดดเข้าซื้อหุ้นกันดักทางไว้ก่อน ซึ่งไม่ได้มีรายงานว่า ข่าวดีที่ว่านั้นคือข่าวดีอะไร
สำหรับนักลงทุนทั่วโลก ขณะนี้ยังมีหวังและรอยยิ้มจากข่าวดีเรื่องการคาดการณ์ผลการประชุมกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ที่คาดว่าจะตกลงกันได้ด้วยดีในเรื่องของการลดกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันและหุ้นน้ำมันปรับขึ้นรอท่าข่าวดีนี้ไปเยอะพอสมควรแล้ว
นอกจากนี้ยังมีการประเมินด้วยว่า กระแสเงินจะไหลเข้าไปที่ตาดหุ้นนิวยอร์ก อเมริกา อีกไม่น้อย โดยจะเห็นว่า ดัชนีราคาหุ้น ดาวโจนส์ เอสแอนด์พี แนสแดก ต่างก็ขยับขึ้นมาสูงสุดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือ All Time High อย่างถ้วนทั่วพร้อมกัน เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ซึ่งสูงสุดในรอบ 16 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีทีท่าว่าจะขึ้นไปอีก
นักวิเคราะห์จากอเมริกา ต่างมีความเชื่อกันด้วยว่า จะเกิดภาวะ “ซานต้า ทรัมป์ แรลลี่” ส่งท้ายปี 2559 นี้ด้วย
“หากเป็นจริง นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะจะเกิดกรณีการขายหุ้นไทย นำเงินไหลกลับไปอเมริกาอีก ดังนั้น หากเห็นหุ้นขึ้นมา โดยบอกว่ารอรับข่าวดี ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวดีอะไรอาจจะต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในการซื้อขายหุ้น หรืออาจจะใช้จังหวะที่หุ้นเด้งขึ้นมาช่วงส่งท้ายเดือนพฤศจิกายนต้นเดือนธันวาคมนี้ ขายออกไปก่อนก็อาจจะดีกว่า”
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ESU กล่าวว่า นโยบายของ ทรัมป์ จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากนโยบายการคลังเช่น การลดภาษี และแผนการใช้จ่ายภาครัฐ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ กลับมาเติบโตได้เกิน 3% ในปีหน้า ส่วนด้านนโยบายภาษี เราประเมินว่าสภาคองเกรสจะอนุมัติให้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 25% จาก 35% ในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 8 % โดยประมาณ
ในรายอุตสาหกรรม ESU คาดว่าหุ้นในกลุ่ม Health Care เช่นอุตสาหกรรมยา จะได้รับผลบวกจากการคลายความกังวลต่อข้อเสนอการควบคุมราคายาซึ่งเป็นนโยบายหลักของนางฮิลลารี่ คลินตัน คู่แข่งจากพรรเดโมแครต ส่วนกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานอาจได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ ตามข้อเสนอของนายทรัมป์
อย่างไรก็ดี ด้านตลาดหุ้นยุโรป ความเสี่ยงทางการเมืองจะกดดันตลาดหุ้นในยุโรปในช่วงปลายปีนี้ ไปจนตลอดถึงปีหน้า โดยจะมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลี ในวันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งหากไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน ก็อาจจุดชนวนให้เกิดการล้มรัฐบาล และเปิดโอกาสให้พรรค Five Star Movement (M5S) ที่มีนโยบายต่อต้านสหภาพยุโรปได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
นอกจากนี้ในปีหน้ายังมีการเลือกตั้งในหลายประเทศ เช่น การเลือกตั้งทั่วไปของเนเธอร์แลนด์ ในเดือน มี.ค. การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในเดือน เม.ย. และการเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีในเดือน ก.ย. รวมไปถึงความไม่แน่นอนจากการเจรจา Brexit ซึ่งจะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า เราเชื่อว่าปัจจัยทางการเมืองเหล่านี้ จะกดดันเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะด้านการลงทุนและการบริโภค เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น
ESU แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจและผลกำไรจะได้รับผลบวกจากนโยบายการคลังของนายทรัมป์ และให้ทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นยุโรป เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองซึ่งจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้