สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แนะนักลงทุน Wait & See นักลงทุนระยะสั้นต้องเข้าเร็วออกเร็ว ฉวยจังหวะหุ้นขึ้นรีบขายทำกำไรเป็นรอบๆ รอทยอยซื้อเป็นจริงเป็นจังช่วงต้นปีหน้าหลังเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย
นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงตลาดหุ้นไทยที่ได้รับผลจากการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับผลพอสมควร ซึ่งก่อนที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง มีการคาดกันว่าถ้าทรัมป์ได้รับชัยชนะ ตลาดสหรัฐอเมริกาน่าจะแย่ และเอเชียน่าจะดี เพราะเงินลงทุนจะไหลกลับมาทางนี้
“แต่จุดที่ทำให้เปลี่ยนชัดเจนคือหลังจากทรัมป์ชนะ ก็มีการประกาศว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ตรงนี้คือที่คุยกันในตลาด และคือตัวแปรที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป คือนักลงทุนทั้งของสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เบี่ยงเบนไปสนใจการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกากันหมด ซึ่งมีผลดึงเม็ดเงินกลับไป...
ส่วนที่สอง สิ่งที่มีผลต่อมาเป็นส่วนต่อเนื่อง คือหากมีการลงทุน มีการใช้จ่ายจากภาครัฐด้วยไซส์ขนาดนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือเรื่องทิศทางดอกเบี้ย เพราะก่อนหน้าทรัมป์จะได้รับชัยชนะ ทางเฟดได้ส่งสัญญาณกับตลาดไปแล้วว่าปีนี้ จะมีการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง ส่วนปีหน้าน่าจะขึ้นได้สัก 2 ครั้ง ตรงนี้คือภายใต้สมมุติฐานเดิม พอมาสมมุติฐานใหม่คือจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็กลายเป็นว่านักลงทุนมีการเก็งว่าดอกเบี้ยต้องมีการขึ้น ซึ่งถ้ามีการขึ้นตอนนี้ ทิศทางเงินเฟ้อต้องเร่งตัวขึ้นอย่างแน่นอน”
นายอิสระกล่าวต่อด้วยว่า เมื่อนักลงทุนมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย สิ่งที่จะตามมาคือกระแสเงินจะไหลกลับอเมริกาเพื่อรับอานิสงส์ผลตอบแทนการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
“สิ่งที่เราเห็นสัญญาณชัดเจนก็คือ ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐอเมริกา ก่อนที่ทรัมป์จะมาอยู่ที่ 1.8-1.9% ตอนนี้ล่าสุดวิ่งไปอยู่ที่ 2.4% ผลพวงที่ตามมาคือค่าเงินของสหรัฐอเมริกาแข็งค่าขึ้นมาก ทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว…
ถ้าถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คำตอบคือสถานการณ์แบบนี้จะอยู่กับเราไปสักพักหนึ่ง แน่นอนคือว่าเฟดได้ส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจนแล้วที่จะขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจากที่ดูสถิติเฉพาะตลาดไทยจะมีการปรับฐาน 4-8% ใช้เวลาประมาณ 6 อาทิตย์ ก็หมายความว่าตอนนี้คือคงเป็นไซด์เวย์ไปเรื่อยๆ อาจจะมีการปรับฐานลงมาเล็กน้อยประมาณ 4-5% แล้วจึงมีการปรับขึ้นไปที่จุดเดิม ซึ่งต้องใช้เวลาสักพัก”
ในสถานการณ์ดังกล่าว นายอิสระแนะนำว่านักลงทุนต้องเข้าใจว่าขณะนี้มีปัจจัยเสี่ยง ดังนั้นถ้าเป็นนักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้นอาจจะต้องเข้าเร็วออกเร็ว แต่จะให้ดีก็คือควรรอดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะผลกำไรในช่วงตลาดดาวน์ไซด์อาจได้ไม่คุ้มเสีย จังหวะที่ดีกว่าคือรอดูสถานการณ์และค่อยๆ ทยอยลงทุนในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม นายอิสระกล่าวว่า แม้ตลาดจะเป็นไปในทิศทางไซด์เวย์ดาวน์ แต่จะไม่มีการปรับลงแบบรุนแรง เพราะตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานลงมาบ้างแล้วในช่วงที่ผ่านมา และถึงแม้เศรษฐกิจของไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแบบมีนัยยะไปในทิศทางที่ดี แต่พื้นฐานจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินทุนสำรอง ยังไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น การปรับตัวของตลาดจึงเป็นการปรับฐานตามธรรมชาติ น่าจะฟื้นตัวได้ช่วงต้นปีหน้า
“ในวงจรที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยโดยปกติ ถ้าเราไม่มีช่วงของการชะลอเศรษฐกิจที่เป็นจริงเป็นจัง หุ้นเราก็จะวิ่งตามหุ้นสหรัฐอเมริกาไป ดังนั้น รอสักพักเพราะนักลงทุนเชื่อว่า ปัจจัยหลักๆ ทางเศรษฐกิจ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่ดอกเบี้ยขึ้นเพราะมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจริง ซึ่งเป็นเรื่องของไทม์มิ่งมากกว่าที่จะทำกำไร”
ส่วนกรณีที่นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหุ้นน้อยลงจากกว่าแสนล้านบาทเป็นหมื่นกว่าล้านบาทนั้น นายอิสระกล่าวว่า จากนี้ต่างชาติคงขายอีกสักระยะหนึ่ง แต่ไม่น่าจะขายมากขนาดแสนล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า เงินจะกลับไปที่สหรัฐอเมริกาอีกไกลแค่ไหน เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขนาดไหน
“ไม่ใช่พอทุกอย่างในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มดูดีขึ้นแล้วค่าเงินดอลลาร์จะแข็งไปจนจบ... คงไม่ใช่ เป็นเพราะว่าการที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาก็เป็นตัวส่งสัญญาณว่ารู้สึกแฮปปี้ แต่ในความเป็นจริงเวลาค่าเงินแข็ง ทีมเศรษฐกิจก็เดือดร้อนเหมือนกัน...
“จากผลวิเคราะห์ที่ส่วนตัวทำขึ้นมา ถ้าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเร็วและไปไกลเท่าไหร่ ก็จะเกิดผลในเชิงส่งออกของสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน และพอส่งออกเริ่มมีปัญหา เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัวลง ตรงนี้มีผลตามสถิติชัดเจน ถามว่าด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้น ค่าเงินดอลลาร์ที่เหมาะสมควรอยู่ตรงไหน ถ้าเราวัดกันด้วยดัชนีค่าเงินสหรัฐอเมริกาหรือดอลลาร์อินเด็กซ์ ตอนนี้ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 101 เพราะถ้าจากปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ของเขาอยู่ที่ประมาณ 99 ตอนนี้มันสูงเกินจากปัจจัยพื้นฐานขึ้นมาประมาณ 2 ดัชนี ฉะนั้นลากไปอีกได้ไม่ไกล ซึ่งเคยลองคำนวณดูเหมือนกันว่าจะลากไปได้แค่ไหนจนถึงจุดที่จะเริ่มมีเนกาทีฟอิมแพคออกมา ซึ่งก็คือ 102 และ 103 ซึ่ง 103 ถือว่าแย่แล้ว ถ้ากลับไปดูตลาดในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าดอลลาร์แข็งตัวต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มกังวล เริ่มมีคอมเม้นต์จากนักลงทุนและจากนักวิเคราะห์ของสหรัฐอเมริกาว่าดอลลาร์แข็งค่าเร็วไปหรือไม่ จริงๆ แล้วพอเกิน 100 คนก็เริ่มกังวล เพราะส่งออกก็ไม่น่าจะไหว ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไป ดอกเบี้ยขึ้นเร็วเกินไป ซึ่งสิ่งที่เปราะบางของสหรัฐอเมริกาคือตลาดที่อยู่อาศัยที่จะไม่ชอบเรื่องดอกเบี้ยขึ้น ตอนนี้หลังจากที่แฮปปี้กับการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมา คนก็จะเริ่มคิดว่าตรงนี้มันดีกับเราหรือไม่ ส่วนนี้จะเริ่มเห็นคืออาจจะเริ่มเห็นการชะลอเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่แล้ว คิดว่ายังน่าจะอยู่ในภาวะแรงกดดันจากเงินไหลออก แต่ไม่น่าจะดุเดือดแล้ว…
คือพอเข้าใกล้สิ้นปี นักลงทุนฝรั่งจะเริ่มขายทำกำไรแล้วก็ไปเที่ยวคริสมาสต์ ก็จะรีเวิร์สอะไรในช่วงใกล้ๆ ดังนั้น คนที่ถือหุ้นในพอร์ตก็ควรจะดูว่ากำไรอยู่หรือไม่ แต่คำแนะนำโดยทั่วไปของเราก็คือ ถ้าตลาดขึ้นมาก็ควรทยอยขายทำกำไรไปก่อน ส่วนหุ้นที่พื้นฐานดีก็ไม่จำเป็นต้องขายตอนนี้ ส่วนที่ขายไปก็ค่อยๆ เลือกกลับเข้าพอร์ตช่วงปลายปีหรือต้นปีก็ยังไม่สายเกินไป”