top of page
image.png

อาซาฮีกลาสถือหุ้น..ไม่กระทบ “วินิไทย”


จากกรณีที่ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2559 บริษัทวินิไทยได้ประกาศว่า กลุ่มโซลเวย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทได้ตกลงทำสัญญา ขายหุ้น ที่ถืออยู่ในบริษัทจำนวน 58.77% ให้แก่บริษัทอาซาฮี กลาส โดยสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 10,488 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนบางประการ ซึ่งรวมถึงต้องผ่านการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับกฎหมายป้องกันการผูกขาดทางการค้าภายใต้เขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ด้วย

เมื่อการซื้อขายหุ้นแล้วเสร็จ บริษัทอาซาฮี กลาส จะต้องทำคำเสนอซื้อขายหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดของบริษัทวินิไทยต่อไป

กรณีดังกล่าว ในมุมมองของ ทริสเรทติ้ง เห็นว่า ด้วยประสบการณ์ของบริษัทอาซาฮี กลาส ในธุรกิจคลอร์-อัลคาไล การเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ในวินิไทยนั้นจงไม่น่าจะมีผลกับความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจของบริษัทวินิไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทวินิไทยอาจได้รับผลกระทบหากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อนโยบายการเงินหรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัท

โดยปัจจุบันบริษัทวินิไทยได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “A-” จากทริสเรทติ้ง ในขณะที่บริษัทอาซาฮี กลาสได้รับการจัดอันดับเครดิต ที่ระดับ “A-” จาก Standard & Poor’s

บริษัทอาซาฮี กลาส เป็นบริษัทชั้นนำของโลกในด้านการผลิตกระจก เคมีภัณฑ์ และวัสดุที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงจากประเทศญี่ปุ่น บริษัทมีสินค้าที่หลากหลายโดยแบ่งกลุ่มธุรกิจได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจกระจก (เช่น กระจกแผ่นชนิดต่าง ๆ และกระจกสำหรับยานยนต์) ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ชิ้นส่วนกระจกสำหรับจอภาพและวัสดุที่ใช้ในอิเล็กทรอนิกส์) และธุรกิจเคมีภัณฑ์ (เช่น เคมีภัณฑ์ในกลุ่มคลอร์-อัลคาไล กลุ่มฟลูออโรเคมิคอล และกลุ่มเคมีพิเศษชนิดต่าง ๆ)

รายได้ของบริษัทในปี 2558 เท่ากับ 1.3 ล้านล้านเยนจากการจำหน่ายสินค้าในตลาดทั่วโลกมากกว่า 30 ประเทศ โดยธุรกิจกระจกสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วน 52% ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ในสัดส่วน 22% และธุรกิจเคมีภัณฑ์ในสัดส่วน 24%

การซื้อหุ้นของบริษัทวินิไทยเป็นไปตามกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจคลอร์-อัลคาไลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตพลาสติกพีวีซีอยู่ 2 แห่งในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนาม และยังมีโรงงานผลิตโซดาไฟในประเทศไทยด้วย หลังจากการซื้อหุ้นเสร็จสิ้น คาดว่ากำลังการผลิตของบริษัทในภูมิภาคนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1 ล้านตันต่อปีสำหรับพลาสติกพีวีซี และประมาณ 1.4 ล้านตันต่อปีสำหรับโซดาไฟ

 
bottom of page