top of page
image.png

เหวี่ยงขึ้นต่อไม่น่าเกิน 1,550 จุด


เจอกันใหม่ TSM 2017 ! ก่อนอื่นคงต้องพูดคำนี้ออกมาก่อน เพื่อมอบให้กับแฟนๆหลายๆท่านที่อุตสาห์สละเวลาอันมีค่ามาพบปะพูดคุยกันที่ “คลินิกหุ้น” และมาฟังงานสัมมนาของผมแบบเจอกันจะๆในงาน Thailand Smart Money 2016 ในช่วง 16-18 ธ.ค.2559 ที่ผ่านมา ซึ่งนายหมูบินก็หวังว่าในปีต่อๆไป แฟนคลับที่ตามมาจะยังคงอุ่นหนาฝาคั่งเช่นเดิมนะครับ

กลับเข้ามาที่ตลาดหุ้นกันบ้างนะครับ แม้ว่าในสัปดาห์นี้จะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายจริงๆของปี 2559 แล้ว แต่นายหมูบินยังคงมองว่า SET ยังคงไปต่อได้อีกนิดแต่ต้องระวังมากกว่าเดิม 10 เท่าครับ ทั้งนี้นายหมูบินยังคงไม่เห็นเหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอที่จะสรุปว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2559 ได้จบรอบลงแล้ว ดังนั้นยังคงยืนยันมุมมองเดิมว่ากรณีที่ SET ยังคงปิดไม่ต่ำกว่า โอกาสที่ December Effect จะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งในช่วงที่เหลือของ ธ.ค.2559 สวนทางกับสถิติของ SET ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (56-58) ที่พบว่า SET ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 5.5% MoM ในเดือน ธ.ค. ด้วยระดับ Winner Percentage ที่ 0% ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะถ้านักลงทุนต่างชาติยังคงไม่กลับมาขายสุทธิติดต่อกันมากกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2559 ทำให้นายหมูบินประเมินว่า SET ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในกรอบ 1,520-1,550 จุด ขณะที่มีความเป็นไปได้ที่ SET แกว่งตัวขึ้นในช่วง 5 วันสุดท้ายของปี (Santa Claus Rally) เหมือนในปีก่อนหน้าที่ SET ปรับตัวขึ้น 1.1% ในช่วง 5 วันสุดท้ายของปียังคงมีความเป็นไปได้

ทั้งนี้ถ้าพิจารณาในประเด็นของ Market Momentum ประกอบด้วย ก็จะพบว่าล่าสุด “ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนต่อวันของ SET ในช่วง 1 เดือน” ซึ่งนายหมูบินใช้เป็น Indicator ในการวิเคราะห์ Market Momentum ยังคงไม่มีสัญญาณของการพักตัวลงในระยะสั้น โดยที่นายหมูบินประเมินว่าสัญญาณดังกล่าวจะเป็นลบ หรือ SET จะกลับมาพักฐานจริงจังอักครั้งสามารถเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี หนึ่ง เมื่อ SET ปิดต่ำกว่ากรอบ 1,520 (+/-10) จุด ซึ่งจะทำให้ Indicator หักหัวลง หรือ สอง SET ขึ้นไปทดสอบ 1,550 จุด ซึ่งจะทำให้ Indicator ชนเส้นค่าเฉลี่ย +1SD

หวังจากกองทุนในประเทศยาก ! : แม้ว่าในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2559 ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยปัจจัยหนุนที่รออยู่คือกระแสเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยเฉพาะจากกองทุน LTF และ RMF ที่ในปัจจุบันยังคงไม่ได้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากเท่าไรนัก ขณะที่ในเชิงสถิติ 10 ปีย้อนหลัง (49-58) มีความเป็นไปได้ 70% ที่นักลงทุนต่างชาติจะเป็นฝ่ายซื้อสุทธิโดยเฉลี่ยราว 9.4 พันล้านบาทในเดือน ธ.ค. ของทุกปี

อย่างไรก็ดีนายหมูบินประเมินว่าการแกว่งตัวขึ้น SET ใน ธ.ค.2559 จะจำกัดอยู่ไม่เกิน 1,500-1,550 จุด เนื่องจากการแกว่งตัวขึ้นของ SET โดยมีปัจจัยหนุนจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจไม่ได้มากอย่างที่คิด และจะเปราะบางอย่างมาก เพราะถ้าพิจารณาจากสถิติ 3 ปีย้อนหลัง แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียง 67% ที่นักลงทุนต่างสถาบันในประเทศจะเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ แต่เป็นการซื้อสุทธิเฉลี่ยเพียง 651 ล้านบาทเท่านั้นในเดือน ธ.ค. ของทุกปี

นอกจากนี้มูลค่าการซื้อขายของ SET ในปัจจุบันที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 วันที่ 4.9 หมื่นล้านบาท/ วันยังไม่สนับสนุนการแกว่งตัวขึ้นด้วย ขณะที่ในกรณีของ Downside Risk ที่ SET หมุนตัวลงมาต่ำกว่า 1,520 (+/-5) จุดอีกครั้งจะเป็นสัญญาณของการ “ขาย” ลดความเสี่ยงระยะสั้นออกมาก่อน เนื่องจาก SET มีโอกาสหมุนลงไปที่ 1,500 และ 1,480 จุดอีกครั้ง

ขึ้นต่อโดยมี Upside จำกัด ! : สาเหตุสำคัญที่นายหมูบินมองว่าการปรับตัวขึ้นต่อของ สาเหตุสำคัญที่นายหมูบินมองว่าการปรับตัวขึ้นต่อของ SET แม้ว่าจะยังคงเกิดขึ้นได้แต่มีได้อีกไม่มาก ก็คงเป็นสาเหตุมาจากปัจจัยเฉพาะตัวในเชิงพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเอง รวมกับปัจจัยจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ดูเหมือนว่าหลังการประชุม FOMC ครั้งสุดท้ายของปี 2559 เสร็จสิ้นลง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดูเหมือนจะลดลงไปด้วย ในส่วนของปัจจัยของตลาดหุ้นไทยที่ดูมีความเสี่ยงนั้น สะท้อนออกมาชัดเจนจากมุมมองต่อความสามารถในการทำกำไรของตลาดหุ้นไทยที่ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา Consensus ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิของตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ลงอีก 0.8% MoM สู่ระดับ +8.8% YoY ซึ่งนอกจากจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Asia Pac ex Japan ที่ +12.5% YoY ยังถือว่าต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในกลุ่มตลาดหุ้น Top10 ของเอเชีย ดีกว่าเพียงแค่ตลาดหุ้นมาเลเซีย และสิงค์โปร์ที่ +7.5% และ +4.9% YoY ตามลำดับ

ขณะที่ในเชิงของมูลค่า (Valuation) ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ Leading PER ถึง 14.3 เท่า มี Premium ถึง 15.3% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย Asia Pac ex Japan ที่ 12.4 เท่า และมี Premium ถึง 33.6% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวของ SET ที่ 10.7 เท่า ขณะที่ความเสี่ยงจากตลาดหุ้นสหรัฐเป็นสิ่งที่ตลาดหุ้นไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเมื่อไปพิจารณาจากการที่ตลาดหุ้นไทยในฐานะ 1 ในตลาดหุ้นกลุ่ม TIP ที่มีระดับ Correlation ค่อนข้างสูงราว 75% กับตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ขณะที่ทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีแนวโน้มที่จะลดความร้อนแรงลงในระยะต่อไป สะท้อนออกมาจากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสหรัฐจาก AAII ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (8-14 ธ.ค.2559) ที่ระบุว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐยังเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง +1.5% WoW สู่ระดับ 44.7% เทียบกับสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาเป็นขาลงแล้ว หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้นถึง +5.8% สู่ระดับ 32.3% ส่งผลให้สัดส่วน Bull/Bear Spread ลดลงมาอยู่ที่ +12.4% เท่านั้น จาก +16.6% ในสัปดาห์ก่อนหน้า

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) : กรณีที่ SET ยังคงปิดเหนือ 1,520 (+/-5) จุดได้ แนะนำ “อ่อนตัวซื้อเก็งกำไร” ในหุ้น PTT, PTTGC, TOP, BDMS, ROBINS, MINT, CPN, AAV, AOT, CK, SCB และ KBANK ขณะที่กรณีตรงข้ามที่ SET กลับมาปิดต่ำกว่า 1,520 (+/-5) จุดอีกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยง ควรกลับมา “ถือเงินสด” หรือ “Wait and See” ไปก่อน สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไว้ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.con/moobin.stockmania , e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com และ www.dokbiaonline.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจากนายหมูบินได้ทาง FM 101 ทุกวันอาทิตย์ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” เวลา 10.00-12.00 น.เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

 
bottom of page