top of page
image.png

KTC ติดอันดับ A+ ..ทริส การันตีฐานแกร่ง


ประเมิน KTC จะรักษาส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับที่ดีได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หากคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลและการลงทุนในอนาคตที่ระมัดระวัง หลังจากที่ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 2555-กันยายน 2559 ส่งผลให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น แต่แผนการขยายปริมาณสินเชื่ออาจทำให้บริษัทต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นและจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น จัดอันดับเครดิต KTC ที่ระดับ A+

ทริสเรทติ้ง รายงานการจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทอายุไม่เกิน 10 ปีของ บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC) ที่ระดับ “A+” ทำให้บริษัทมีวงเงินคงเหลือของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินรวมไม่เกิน 8,300 ล้านบาท ในขณะเดียวกันยังยืนยันอันดับเครดิตองค์กร หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบัน และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินคงเหลือไม่เกิน 3,300 ล้านบาทอายุไม่เกิน 10 ปีของบริษัท ที่ระดับ “A+” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่”

ทริสระบุว่า อันดับเครดิตสะท้อนถึงการปรับยกระดับจากอันดับเครดิตเฉพาะของ KTC จากสถานะการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของธนาคาร กรุงไทย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

อันดับเครดิตเฉพาะของ KTC เองก็ได้รับการสนับสนุนจากผลการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในระหว่างปี 2555-กันยายน 2559 ซึ่งส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากสภาพการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่ออุปโภคและบริโภคท่ามกลางภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพเครดิตและความสามารถในการทำกำไรของ KTC

ทั้งนี้ คาดหมายว่า KTC จะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดและคุณภาพสินทรัพย์เอาไว้ได้ภายใต้มาตรฐานการจัดเก็บและติดตามหนี้สินและการปล่อยสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งรักษาอัตราส่วนโครงสร้างเงินทุน ณ ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าธนาคารกรุงไทยจะยังคงให้การสนับสนุน KTC ทั้งในด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย

“โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของ KTC มีค่อนข้างจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าหลังการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในเดือนมีนาคม 2559 ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของ KTC อาจเกิดขึ้นได้หากเกิดปัจจัยที่จะกระทบต่อธุรกิจและผลประกอบการทางการเงินโดยรวมของ KTC อย่างมีนัยสำคัญ เช่น คุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลง รวมถึงระดับของการให้การสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยหรือสถานะของ KTC ในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทยเปลี่ยนแปลงไป”

หลังจากวิกฤติอุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 KTC ได้ตัดสินใจโอนงานจัดเก็บและติดตามหนี้สินกลับมาบริหารเองทั้งหมด นอกจากนี้ KTC ยังให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและติดตามหนี้สินตั้งแต่ก่อนที่หนี้ปกติจะกลายเป็นหนี้เสียด้วย ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บและติดตามหนี้สินดีขึ้นอย่างต่อเนื่องดังเห็นได้จากสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) ต่อเงินให้สินเชื่อรวมที่ลดลง (อัตราสินเชื่อค้างชำระ) ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล

KTC รายงานอัตราสินเชื่อค้างชำระของบัตรเครดิตที่ระดับ 1.4% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 3.7% สินเชื่อส่วนบุคคลก็มีอัตราสินเชื่อค้างชำระของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ระดับ 1% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 3.5% แม้ว่าอัตราสินเชื่อค้างชำระจะมีแนวโน้มที่ลดลง แต่อัตราหนี้สูญตัดบัญชีของบริษัทกลับเพิ่มขึ้นจาก 7.4% ในปี 2555 มาเป็น 9.4% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) สำหรับ 9เดือนแรกของปี 2559 ทั้งนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการตั้งสำรองที่เข้มงวดมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อค้างชำระที่เพิ่มขึ้นจาก 195% ณ สิ้นปี 2555 มาเป็น 446% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 KTC ได้เพิ่มค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้สูงขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

ในเดือนพฤษภาคม 2558 KTC ได้ตัดสินใจมอบหมายให้ บริษัท วินเพอร์ฟอร์มานซ์ ซึ่งเป็นบริษัทภายนอกเป็นตัวแทนติดตามหนี้สินที่ค้างชำระทั้งหมด บริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 39.6% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2559 จาก 37.5% ในปี 2557 และ 39.5% ในปี 2558

“แม้ว่าการจัดเก็บหนี้สินจะไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท ทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทภายนอกที่เป็นตัวแทนติดตามหนี้สินจะสามารถบรรลุอัตราการจัดเก็บหนี้สินในระดับสูง ขณะที่รักษาคุณภาพสูงในการให้บริการและมีระดับต้นทุนที่ควบคุมได้”

KTC ให้ความสำคัญในเรื่องการมุ่งเน้นด้านการตลาดเชิงรุกและการควบคุมค่าใช้จ่ายเป็นส่วนใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ (หลังหักรายการพิเศษจากการขายเงินลงทุน) ในปี 2556 อยู่ที่ 1,037 ล้านบาท 1,755 ล้านบาทในปี 2557 และ 2,073 ล้านบาทในปี 2558 บริษัทมีผลกำไรเท่ากับ 1,854 ล้านบาทสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2559 จาก 2.1% ในปี 2556 (หลังหักรายการพิเศษจากการขายเงินลงทุน) นอกจากนี้ ประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้นตลอดจนนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวังของบริษัทน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาระดับกำไรนี้ต่อไปได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

จากการที่ KTC สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายประกอบกับการสนับสนุนทางการเงินที่ได้รับจากธนาคารกรุงไทยจึงทำให้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องระยะสั้นมิได้เป็นประเด็นที่น่าห่วงมากนัก กล่าวคือ KTC มีเงินทุนที่ใช้สนับสนุนสภาพคล่องจากเงินกู้ที่ได้จากสถาบันการเงินหลายแห่งและจากหุ้นกู้ที่มีวันครบกำหนดชำระหนี้ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยไม่มียอดเงินกู้จากสถาบันการเงินใดที่มีสัดส่วนสูงมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับยอดเงินกู้โดยรวม KTC ใช้การกู้ยืมและการออกตราสารหนี้เป็นแหล่งเงินทุนหลัก ส่วนคู่แข่งในกลุ่มธนาคารพาณิชย์กลับมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่าจากการมีฐานเงินฝากเป็นแหล่งเงินทุน

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของ KTC เมื่อประกอบกับอัตราดอกเบี้ยตลาดที่มีแนวโน้มลดลงในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาก็ส่งผลให้ต้นทุนในการระดมทุนของบริษัทปรับตัวลดลงจาก 5% ในปี 2555 เหลือ 3.3% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2559

“ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในปี 2555-กันยายน 2559 ส่งผลให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้เหลือ 5.27 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 หากบริษัทคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลและการลงทุนในอนาคตที่ระมัดระวัง ทริสเรทติ้ง คาดหวังว่าบริษัทจะรักษาส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับนี้ได้ในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม แผนการขยายปริมาณสินเชื่ออาจทำให้บริษัทมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นและจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น”

 
bottom of page