มนตรี ศรไพศาล ขาตั้งสู้ ใช้เวลาราว 3 เดือนในการจัดทัพใหม่ หลังจากที่ทัพใหญ่ยกพลลาออกจากบริษัทไปก่อนหน้า เปิดตัว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม , กรรมการผู้จัดการ และรองกรรมการผู้จัดการ คนใหม่ประเดิมปีไก่ ยืนยันจะไม่ยอมเสียแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ให้กับใคร ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15 % ในปี 2560
ตามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และสำคัญที่สุดขึ้นใน บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เมื่อเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา คือ นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม พร้อมทีมส่วนหนึ่งที่เคยทำงานร่วมทีมกันมาเป็นเวลายาวนานได้แยกตัวออกไป ทำให้ถูกจับตามองว่า บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง โบรกเกอร์ขาใหญ่อันดับหนึ่งของวงการในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา นี้จะจัดการอย่างไร จะครองแชมป์ไว้ได้หรือไม่ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่นับวันก็ยิ่งมีความเข้มข้นขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และใครคือคนที่จะมาเติมเต็มเสริมทัพใหม่
ในที่สุดทุกอย่างก็ลงตัว บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง หรือที่รู้จักในนาม MBKET ได้ผู้บริหารยกชุดเข้ามาร่วมงานเป็นทัพใหม่ และถือฤกษ์ช่วงตรุษจีนเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แถลงว่า บริษัทใช้จังหวะปีใหม่ 2560 ปีไก่นี้ เริ่มต้นปีอย่างแข็งแกร่งด้วยการ เปิดตัวเสริมทัพสายงานบริหารให้มั่นคงต่อไป โดยการแต่งตั้ง สุดธิดา จิระพัฒน์สกุล เข้ามาทำหน้าที่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม พร้อมด้วย สิทธิพร ศรกาญจน์ เข้ามาร่วมงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยทั้ง 2 คนจะดูแลสายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย อีกทั้งยังได้ดึง ธนัท วงศ์ชูแก้ว กลับมาร่วมงานกับ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง อีกครั้งในตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานธุรกิจออนไลน์บิสสิเนส ซึ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่าจะให้ความสำคัญกับธุรกิจออนไลน์มากขึ้น
ความคาดหวังหลังแต่งตั้ง 3 ผู้บริหารระดับแม่ทัพ ขุนพลมาครั้งนี้ คือ การเสริมทัพทีมบริหารให้แข็งแกร่ง และตั้งหน้าตั้งตาทำงานลุยธุรกิจในปี 2560 แบบเต็มกำลัง
นายมนตรี ย้ำว่า ปัจจุบัน เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาด ในปี 2559 ที่ 8.15% และจาก4- 20 มกรามคม 2560 อยู่ที่ 8.80% ฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทมีประมาณ 192,000 บัญชี คิดเป็นลูกค้าที่เทรดผ่านผู้แนะนำการลงทุน (IC) และเทรดผ่านระบบออนไลน์อย่างละครึ่ง ซึ่งคาดว่าลูกค้าในกลุ่มนี้จะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็นด้านโบรกเกอร์ 71% ดอกเบี้ยรับ 24% และอื่นๆอีก 5% บิหารจัดการสินทรัพย์ของลูกค้ามูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท
“เรามีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง การันตีได้จาก ฟิทซ์ เรตติ้ง ประเทศไทย ปรับอันดับความน่าเชื่อถือ AA+ ซึ่งเทียบเท่ากับธนาคารชั้นนำของไทย 4 แห่ง พร้อมกันนี้บริษัท ยังได้รับรางวัล จาก อัลฟ่าเซาธ์อีสท์เอเชีย ถึง 2 รางวัล ได้แก่ โบรกเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ ด้านลูกค้าบุคคล ปี 2550-2559 และโบรกเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ ด้านลูกค้าสถาบัน ปี 2550-2559
ดังนั้น ในปี 2560 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มุ่งหวังขยายฐานนักลงทุนเพิ่มอีก 25,000 บัญชี ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ไว้ที่ 9 -10% และคาดหวังรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% พร้อมรักษาแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16”
ปัจจุบันเมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีสาขาทั้งหมด 59 สาขา แบ่งเป็น สาขาในกรุงเทพ 36 สาขา และ ต่างจังหวัด 23 สาขา ในปี 2560 จะไม่เน้นการขยายสาขา เพราะพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนหันมาใช้ระบบเทรดออนไลน์กันมากขึ้น ดังนั้นบริษัท จึงมีแนวโน้มที่จะเปิด ไซเบอร์ บรานส์ (Cyber branch) มากกว่าการเปิดสาขาเต็มรูปแบบ
สำหรับกลยุทธ์สำคัญที่จะเข้ามาสร้างรายได้ของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คือ บุคลากรและทีมงานที่มีความเป็นมืออาชีพโดยบริษัท พร้อมดูแลพนักงานอย่างดีที่สุด อีกทั้งยังมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ควบคู่กับการเน้นรักษามาตรฐานการให้บริการที่ยอดเยี่ยม ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพจนเป็นที่ยอมรับ และการันตีได้จากรางวัลมากมาย
“จะมีการลงทุนด้านระบบ ไอที คิดเป็นมูลค่าลงทุนกว่า 590 ล้านบาท โดยเมย์แบงก์ กิมเอ็ง กรุ๊ป แต่งตั้งให้ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย เป็นศูนย์พัฒนาด้านนวัตกรรม Innovation Lab ของกลุ่มเมย์แบงก์ของทั้งภูมิภาคอีกด้วย
เป้าหมายหลักในการขายทางธุรกิจที่บริษัทจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในปีนี้คือ ธุรกิจออนไลน์ บิสสิเนส เพราะเราเชื่อว่าโลกแห่งอนาคตจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคออนไลน์ ดิจิตอลมากขึ้น เราจึงยกระดับการให้บริการฟินเทค ที่จะเข้ามาพลิกโฉมหน้าบริการทางการเงินให้ก้าวล้ำนำหน้าไปอีกขั้น ด้วยการเน้นทำการตลาดในรูปแบบออนไลน์ มาร์เก็ตติ้ง การปรับภาพลักษณ์องค์กรให้ดูทันสมัย การเพิ่มสินค้าและบริการ โดยทำการตลาดบนพื้นฐานของเทคโนโลยียุคใหม่ นำเสนอด้วยโซเชียลมีเดียที่จะมาพร้อมกันทุกแพลตฟอร์ม รองรับการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ พีซี , โน้ตบุ๊ค , ไอแมค , แมคบุ๊ค และสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัว ในรูปแบบ One mobile One stop Service”
ในการให้บริการ One mobile One stop Service บริษัทจะเริ่มต้นด้วยการเปิดตัวบริการ “Maybank Kim Eng LINE Trading” ให้สามารถส่งคำสั่งซื้อ-ขายหุ้น บนหน้าจอสมาร์ทโฟน ผ่านโปรแกรม LINE สะสมค่าคอมมิชชั่น แลกรับรางวัลใหญ่ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ที่นั่ง VIP BOX เพื่อชมการแข่งขันฟุตบอลทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และที่กำลังจะมีตามมาในอนาคตคือ บริการ “Personalized” คือบริการส่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์ให้กับลูกค้า ที่ประมวลผลจากความสนใจของตัวลูกค้าเอง ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุด และแคมเปญ “Tiger Points” แลกแต้มเพื่อแลกตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ชมการแข่งขัน ฟอร์มูล่าวัน ประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในด้านสายงานวาณิชธนกิจ (IB) ยังคงเดินหน้าสร้างผลงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัท เป็นที่ปรึกษาในการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้น IPO และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกมากกว่า 10 บริษัท คิดเป็นมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท โดยประกอบด้วยธุรกิจที่น่าสนใจและหลากหลาย อาทิ โรงงานไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ โรงไฟฟ้าชีวมวล ผู้ผลิตแร่และเคมีรายใหญ่ของเอเชีย ผู้ผลิตเชื้อเพลิงเอทานอล ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทั้ง OEM และ REM ผู้ให้บริการท่าเรือและขนส่ง ผู้จัดงานแสดงสินค้าและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยได้ยื่นไฟลิ่งไปแล้ว 4 บริษัท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะทยอยยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน กลต. ในปีนี้และต้นปีหน้า รวมทั้งมีงานที่ปรึกษาด้าน M&A และการสนับสนุนเงินกู้ของธนาคาร เมย์แบงก์ แก่ธุรกิจไทย เพื่อขยายกิจการไปในภูมิภาคอาเซียนอีกจำนวนหนึ่ง
ทางด้านธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทมีแผนที่จะทำ Structured Note เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนรับมือหุ้น และดอกเบี้ยที่ผันผวน และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ (Derivative Warrants) บน SET 50 เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุน บริษัทฯเห็นว่าก็ยังคงสามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้อีก โดยเฉพาะในด้านการนำมาใช้เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงจากความกังวลในภาวะตลาดขาลง ซึ่งบริษัทจะพยายามเน้นการให้ความรู้ด้านกลยุทธ์แก่ผู้ลงทุน สำหรับบริการ Offshore Trading ก็มีแนวโน้มที่ดี จึงเดินหน้าให้ความรู้และขยายฐานนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือและเครือข่ายด้านการลงทุนของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง กรุ๊ป ทำให้พร้อมเดินหน้าให้บริการการเทรดหุ้นในตลาดต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย อย่างเต็มที่
“ด้วยความแข็งแกร่งของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย บวกการสนับสนุนของธนาคารระดับโลก อย่างธนาคารเมย์แบงก์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันให้ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่แข็งแกร่ง อีกทั้งกลุ่มเมย์แบงก์ ยังให้การสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ให้กับ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นวงเงินสูงถึงประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท จึงทำให้เรามีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเป็นอย่างมาก
ผมเชื่อมั่นว่าด้วยบุคลากรและความพร้อมในทุกด้านของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย จะสามารถทำให้บริษัท รักษาแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ในปีนี้ให้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 และสู้ศึกการแข่งขันรอบด้านได้อย่างแน่นอน” นายมนตรี กล่าวย้ำ