ข่าวใหญ่ในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ ไม่มีข่าวไหนดังกว่าข่าวที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งห้ามประชาชนของ 7 ประเทศมุสลิม ได้แก่ ซีเรีย อิรัก โซมาเลีย ซูดาน อิหร่าน ลิเบีย และเยเมน เดินทางเข้าประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ทันที ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่เดินทางเข้าถึงสนามบินในสหรัฐ เพราะไม่ทราบเรื่องราวมาก่อนว่าจะมีการห้ามประชาชนจากประเทศทั้ง 7 เข้าประเทศ และไม่ทราบว่าจะมีการห้ามไม่ให้ผู้ลี้ภัยเข้าสหรัฐ ถูกกักกันตัวอยู่ตามสนามบินหลายแห่ง
ผลคือทำให้คนอเมริกาจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับมาตรการของประธานาธิบดี โดยเห็นว่าเป็นการออกมาตรการต่อต้านผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม เพราะนอกจากการสั่งห้ามประชาชนจากบางประเทศเข้าประเทศแล้ว ยังให้มีการตรวจสอบประวัติของชาวมุสลิมในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามอย่างเข้มข้น จึงระดมกันออกมาประท้วงการกระทำของประธานาธิบดีตามสนามบินต่างๆ เช่น สนามบินเจ เอฟ เค ในนครนิวยอร์ก สนามบินนานาชาติที่นครลอสแองเจลิส จนเกิดความปั่นป่วนไปทั่ว รวมทั้งมีการรวมตัวประท้วงในบางเมือง เช่น ที่นครบอสตันและนิวยอร์ก และมีทีท่าว่าจะขยายตัวออกไปทั่วประเทศ
ผมมีเพื่อนชาวอเมริกันในเฟซบุ๊กหลายคนที่มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับมาตรการครั้งนี้ของประธานาธิบดีของเขา มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยพวกที่เห็นด้วยเห็นว่าเป็นมาตรการที่สมควรใช้เพื่อปกป้องประเทศและประชาชนชาวอเมริกันจากการก่อการร้าย ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยเห็นว่าเป็นมาตรการที่ไร้มนุษยธรรม ขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐที่ไม่ให้มีการกีดกันกับการนับถือศาสนา และที่สำคัญเห็นว่าสหรัฐอเมริกาเองเป็นประเทศที่เกิดและสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของผู้อพยพ และมีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศที่หล่อหลอมคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อที่แตกต่างกัน เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน จนประเทศกลายเป็นประเทศมหาอำนาจและเป็นต้นแบบของการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีการแบ่งแยกอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ออกจากกันอย่างเด็ดขาด
ผมนั่งอ่านความเห็นที่เขาโต้แย้งกันในเฟซบุ๊กแล้วรู้สึกว่าอเมริกันจะเริ่มเลียนแบบกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดงแบบไทย เพราะตอบโต้กันรุนแรง และต่างฝ่ายต่างยืนอยู่บนความเชื่อหรือความชอบธรรมของตนเอง โดยไม่มีทีท่าว่าจะพยายามหาจุดร่วมที่ดีสุดสำหรับการแก้ไขปัญหาของประเทศ และถ้ายังจำได้ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐคนนี้ได้รับเลือกตั้งจากเสียงส่วนน้อยของประชาชนคือประมาณร้อยละ 47 ถึงแม้จะได้รับเลือกตั้งจากเสียงของคณะผู้เลือกตั้งตัวแทนของรัฐต่างๆ ตามระบบการเลือกตั้งของสหรัฐ
เพราะฉะนั้น ถ้าพูดอย่างชาวบ้านคือมีคนไม่ชอบ โดนัลด์ ทรัมป์ มากกว่าคนชอบ จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อไปว่า เรื่องนี้จะลงเอยต่อไปอย่างไร เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ส่งผลกระทบไปทั้งโลกในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง เพราะถ้าลงเอยด้วยดี เงินดอลลาร์จะแข็งแกร่งขึ้น เพราะเศรษฐกิจอเมริกาเข้มแข็งขึ้น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผลกระทบต่อประเทศอื่นก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้าตรงกันข้าม หาทางออกไม่ได้ เงินดอลลาร์ก็อาจอ่อนลงต่อไป ธนาคารกลางอาจชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจต่อไป ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศอื่นก็จะออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจะไม่ถึงขนาดที่กองทัพอเมริกาต้องออกมาทำรัฐประหารก็ตาม
ที่คุยกันเรื่องนี้ เพราะเผอิญมีอเมริกันชนคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กที่สนับสนุนนโยบายประธานาธิบดีของเขาเกิดถามย้อนเพื่อนคนไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการที่สหรัฐจะห้ามผู้ลี้ภัยเข้าประเทศว่า ประเทศไทยรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศแล้วเท่าไร ผมเลยลองหาข้อมูลดู ปรากฏว่ามีผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ฯลฯ จากพม่าลี้ภัยเข้ามาอยู่ในเมืองไทยจนถึงสิ้นปี 2016 กว่า 102,607 คน ตามตัวเลขของสำนักงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และคนพวกนี้ก็ลี้ภัยอยู่ในไทยมานานกว่า 30 ปี ก็เลยบอกเขาไปว่า ทั้งๆ ที่เราเป็นประเทศที่ยากจน ก็ยังให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยตามหลักมนุษยธรรม
ความจริงผมยังไม่ได้นับชาวพม่า ลาว และเขมร ที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ทำมาหากินอยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัยอีกนับล้านคน ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นการช่วยเหลือคนเหล่านี้และครอบครัวที่ได้รับเงินค่าจ้างแรงงานที่ส่งไปจากเมืองไทยเพื่อการยังชีพ และก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยและคนไทยก็ได้รับประโยชน์จากคนเหล่านี้เช่นกัน แม้แต่ชาวหมู่บ้านอย่างผมก็ยังมีชาวลาวและพม่าที่เข้ามาทำงานบ้านให้ ถือว่าเป็นการประสานประโยชน์ได้อย่างกลมกลืน
ความจริงเรื่องการจัดการปัญหาผู้อพยพนั้น ประเทศไทยเราตั้งแต่เป็นประเทศสยามสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพระมหากษัตริย์ไทยนั้น ทรงแผ่พระบรมโพธิสมภารให้ผู้อพยพได้เข้ามาพักพิง ตั้งหลักแหล่งทำมาหากินได้โดยปกติสุข จนกระทั่งลูกหลานกลายเป็นคนไทย 100% ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ แม้ว่าในสมัยหนึ่งจะมีผู้เผด็จการคนหนึ่งจะพยายามสร้างลัทธิชาตินิยม แบ่งแยกเชื้อชาติขึ้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ความจริงคนอเมริกันเอง ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพและกลายเป็นคนอเมริกันเหมือนคนไทย ส่วนใหญ่ที่สืบเชื้อมาจากคนหลายเผ่าพันธุ์เหมือนกัน ผมคิดว่าไม่ช้าก็เร็ว ปัญหาเรื่องผู้อพยพและการแบ่งแยกศาสนาที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐจะได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีตามหลักมนุษยธรรม
ไม่อย่างนั้น ก็คงต้องเตรียมตัวใครตัวมัน เพราะประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความรุนแรงและการสร้างความเกลียดชังเพื่อนมนุษย์ ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาอะไรๆ ได้ และรังแต่จะสร้างความรุนแรงยิ่งขึ้น