
เพิ่งจะปรับพาร์ มีผลอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และประกาศผลการดำเนินงานออกมาน่าพอใจ กำไรดี แต่หุ้น AOT ก็เริ่มถูกขายออกมาจากประเด็นกังวลที่ระบุในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่ 22 เกี่ยวกับสัญญาการจ่ายค่าเช่าที่ดินของรัฐ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมกับที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ซึ่งเสี่ยงต้องจ่ายเงินค่าเช่าเพิ่มปีละ 5% ของรายได้บวกเปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินย้อนหลัง 5 ปี รวมกว่า 20,600 ล้านบาท ซึ่งย่อมกระทบรายได้และกำไรของบริษัท นักวิเคราะห์รอฟังผลเจรจา เตรียมปรับราคาเหมาะสมลงจากเดิม 7-10 บาท
บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เจอปัญหาใหญ่หนักอก ที่เพิ่งเปิดเผยออกมาหลังจากที่ บริษัทได้ส่งงบการเงินงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2559 และระบุในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อที่ 22 ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนผู้ถือหุ้นไม่เคยรู้มาก่อน และเกิดอาการตกใจเมื่อได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าว
ทั้งนี้กรณีปัญหาของ AOT ที่เกิดขึ้น เป็น กรณีสัญญาการเช่าที่ดินของรัฐ ซึ่งคือที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ซึ่งระบุว่า จะต้องมีการทบทวนการเช่าเมื่อครบ 10 ปี ซึ่งจากเดิมมานั้น AOT จ่ายค่าเช้ให้กับกรมธนารักษ์ ในอัตรา 5% ของรายได้ทั้งหมดของ AOT อันเกิดจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และกรมธนารักษ์ ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2559 ถึง AOT เพื่อแจ้งอัตราค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุ อัตราใหม่
ในหนังสือกรมธนารักษ์ ดังกล่าว กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่ AOT ต้องจ่ายเป็น 2 ส่วน คือ อัตราร้อยละของมูลค่าทรัพย์สินต่อปี รวมกับอัตราส่วนแบ่งรายได้ 5% ของรายได้ทั้งหมดของ AOT อันเกิดจากสนามบินสุวรรณภูมิโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยกรมธนารักษ์เริ่มนับวันครบกำหนดการใช้ประโยชน์ปีที่ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ซึ่งหมายความว่า AOT จะต้องจ่ายเงินย้อนหลังไปถึงปี 2555 ให้ด้วย
โดย ในหนังสือกรมธนารักษ์ ยังแจ้งให้ AOT ชำระค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุสำหรับปี 2556 ถึงปี 2558 จำนวน 15,118.34 ล้านบาท และในปี 2559 อีกจำนวน 5,551.58 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,669.92 ล้านบาท
เรื่องนี้ทางด้าน AOT แย้งว่า กรมธนารักษ์จะนับการใช้ประโยช์ครบ 10 ปี เป็นปี 2555 ไม่ได้ เพราะ ทอท ใช้ประโยชน์บนที่ดิน นับจากวันที่เริ่มใช้สุวรรณภูมิครั้งแรก คือ 28 กันยายน 2549 จึงค้องนับครบปีที่ 10 วันที่ 28 กันยายน 2559 และไม่เห็นพ้องด้วยกับข้อพิจารณาของกรมธนารักษ์ที่เรียกเก็บจากอัตราร้อยละของมูลค่าทรัพย์สินต่อปี โดย ฝ่าย AOT ระบุว่า ได้ทำหนังสือแจ้งต่อกรมธนารักษ์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2559 แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองเพื่อพิจารณาหาข้อยุติที่เหมาะสมร่วมกัน ซึ่งยังไม่มีใครรู้ได้ว่า การต่อรองเจรจาระหว่าง AOT กับ กรมธนารักษ์จะลงเอยอย่างไรและเสร็จสิ้นเมื่อไร
บล.เคจีไอ ให้ความเห็นว่า กำไรสุทธิของ AOT ใน 1/2560 ( 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2559) ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 5,080 ล้านบาท ซึ่งนับว่า เป็นผลการดำเนินงานที่ดี แข็งแกร่งใช้ได้ มีรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินคิดเป็นสัดส่วน 56% ลดลงจาก 58% ใน 1/59 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบินคิดเป็นสัดส่วน 44% เพิ่มขึ้นจาก 42% สะท้อนถึงความคืบหน้าในนโยบายของบริษัทที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบินเพื่อสร้างสมดุลให้กับโครงสร้างรายได้ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 50% ในระยะยาว
“สถานะทางการเงินของ AOT ยังคงแข็งแกร่งโดยที่สัดส่วน D/E อยู่ที่ 0.36 เท่า เท่านั้น เรายังคาดว่าสถานะการเงินของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง ตามกระแสเงินสดที่เกิดจากธุรกิจท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งของประเทศไทยในอีกสองสามปีข้างหน้า”
บล.เอเซียพลัส ให้ความเห็นว่า หากคิดตามเกณฑ์ใหม่ของ กรมธนารักษ์ ที่เก็บ 5% ของรายได้ บวกกับเปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ จะทำให้ AOT ต้องจ่ายเงินให้ที่ราชพัสดุ เพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยจ่ายปีละราว 1,400 ล้านบาท เพิ่มเป็นราว 5,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอัตราที่มาก เมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ เช่นปี 2559 ทำกำไรได้ 16,000 ล้าน นั่นหมายถึง ต้องจ่ายให้ธนารักษ์ถึง 25% เลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูง
นั่นย่อมกระทบต่อ พีอีและราคาในอนาคต
กรณีนี้ทำให้ เกิดความวิตกมากสำหรับนักลงทุน และนักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มจ่อปรับราคาเหมาะสมตามพื้นฐานของ AOT ใหม่ ซึ่งต้องรอผลการเจรจาของ 2 ฝ่ายก่อน ซึ่งยังไม่มีการระบุแน่ชัดว่าเมื่อไร อย่างไร ทั้งนี้หลายสำนักประเมินว่า กรณีการคิดค่าเช่าแบบนี้ อาจทำให้กระทบต่อราคาพื้นฐานหุ้น AOT ลงไปได้มากถึง 7-10 บาท
ทั้งนี้ กรณีการปรับขึ้นราคาของกรมธนารักษ์นี้ ไม่ได้เฉพาะกับ AOT แต่ยังปรับกับผู้เช่ารายใหม่ รายใหญ่ กับ ปตท. และ ไทยออยล์ด้วย ซึ่งต้องติดตามในรายละเอียดส่วนนี้ต่อไป
ขณะเดียวกันกลับเกิดความขัดกันของข้อมูลด้วย เมื่อ นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ AOT ออกมาอธิบายผ่านสื่อว่า กรณีการขึ้นค่าเช่าของ ที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ นี้เป็นประโยชน์ และส่งผลดีให้ AOT เพราะเดิมคิดเป็นผลตอบแทนต่อส่วนแบ่งกำไร หรือ Profit Sharing กับท่าอากาศยาน 5 แห่งของ AOT และคิดแบบค่าตอบแทนต่อการประเมินทรัพย์สินหรือ Return on Assets ซึ่งรวมจะหักผลตอบแทนราว 2-5% ซึ่งไม่เป็นธรรม แต่การคิดแบบใหม่ของกรมธนารักษ์ จะคิดแบบ Profit Sharing 5% ซึ่งจะทำให้ค่าเช่าเป็นธรรมมากขึ้น และ AOT สามารถใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้มากขึ้น