top of page
image.png

ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ประกาศผลประกอบการ 2559 ยอดขายเพิ่มขึ้น 7.3 เปอร์เซ็นต์ ทำสถิติสูงสุดที่ 134 พันล้า


บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการปี 2559 โดยมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 7.3 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 134,375 ล้านบาท (หรือ 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งนับเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันที่บริษัททำสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.8เปอร์เซ็นต์ เทียบกับ 15.6เปอร์เซ็นต์ ในปี 2558 ราคาวัตถุดิบปลาแซลมอนที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาปลาทูน่าที่สูงกว่าประมาณการณ์ ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม การควบคุมต้นทุนต่างๆ อย่างเข้มงวด มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูง โดยอัตราค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต่อการขายเท่ากับ 9.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงสามารถรักษาระดับกำไรสุทธิของบริษัทได้ โดยลดลงเพียง 0.9 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 5,254 ล้านบาท สำหรับปี 2559 ยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัท โดยมีสัดส่วน 39เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรวม ตลาดในประเทศไทยมีสัดส่วน 8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ตลาดในยุโรปคิดเป็น 33 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจาก 29เปอร์เซ็นต์ ในปี 2558 ทั้งนี้ยอดขายในญี่ปุ่นคิดเป็น 6เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายทั้งหมด นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการในปี 2559 ของไทยยูเนี่ยน แสดงให้เห็นว่าความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเรายังคงอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายในเรื่องต้นทุนวัตถุดิบและความผันผวนทางเศรษฐกิจในหลายตลาดทั่วโลก แต่เราก็ยังคงรักษากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับทรงตัว” ไทยยูเนี่ยนประกาศเรื่องการจ่ายเงินปันผลที่ 0.31 บาทต่อหุ้น รวมเป็นการจ่ายเงินปันผลทั้งปีที่ 0.63 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลในระดับคงที่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าบริษัทจะประสบกับสภาวะตลาดที่ท้าทายในปี 2559 ยอดขายที่มาจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนในปี 2559 ยังคงอยู่ที่ 42 เปอร์เซ็นต์ โดยที่เหลือมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต ยอดขายของผลิตภัณฑ์ของบริษัทในปี 2559 เติบโตทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยแยกเป็นยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น 3.2 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2558 มาอยู่ที่ 61,043 ล้านบาท แยกเป็นยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2558 อยู่ที่ 55,832 ล้านบาท ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่ม ปรับเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน อยู่ที่ 17,500 ล้านบาท ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การรวมยอดขายของ รูเก้น ฟิช (Rügen Fisch) ในประเทศเยอรมนี การรวมกิจการของ เชซ์ นูส์ (Chez Nous) ในประเทศแคนาดา และการส่งออกกุ้งของบริษัทที่ดีขึ้น ในเดือนตุลาคม ไทยยูเนี่ยนเข้าซื้อกิจการบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซึ่งเป็นเครือภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเงินลงทุน 575 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 20.2 พันล้านบาท) และจากการลงทุนดังกล่าวส่งผลให้ กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 7.7 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาส 4/2559 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในเดือนธันวาคม ไทยยูเนี่ยน ประกาศกลยุทธ์ที่มีความท้าทาย โดยตั้งเป้าหมายที่จะจัดหาวัตถุดิบปลาทูน่าภายใต้แบรนด์ของบริษัททั้งหมดด้วยวิธีการที่ยั่งยืน โดยมีพันธกิจที่จะทำให้ได้อย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ ของเป้าหมายภายในปี 2563 ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปลาทูน่าใหม่ ไทยยูเนี่ยนกำลังลงทุน 90 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการเพื่อความยั่งยืนต่างๆ ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาการประมงใหม่ 11 โครงการ (Fishery Improvement Project) ทั่วโลก และเพื่อให้สอดคล้องกับ SeaChange ซึ่งเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท ไทยยูเนี่ยน เชื่อว่าความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของแหล่งวัตถุดิบเป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืน และบริษัทได้พัฒนาโครงการความยั่งยืนมากมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในระบบห่วงโซ่อุปทาน

จากความพยายามในโครงการเหล่านี้ ในปี 2559 ไทยยูเนี่ยนได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับสากลมากมาย อาทิเช่น 2016 Gold Standard Awards การเป็นพลเมืองที่ดีต่อสังคม ประเภท Global-Asia Program จาก Public Affairs Asia และได้รับการจัดอันดับดีที่สุดในเอเชียในรายงานความยั่งยืน ท็อป 100 บริษัท ที่มีมาตรฐานเรื่องความโปร่งใส จาก Seafood Intelligence และได้รับรางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม จากงาน SET Awards “ผมภูมิใจมากที่ความพยายามของ ไทยยูเนี่ยน เป็นที่ยอมรับ สะท้อนจากรางวัลมากมายที่ได้รับ ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ไทยยูเนี่ยน ทำงานอย่างแข็งขันทุกวันเพื่อให้มั่นใจว่าค่านิยมขององค์กรที่เรายึดถือได้รับการแปลงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้จริงอย่างยั่งยืน" นายธีรพงศ์กล่าว "มองไปข้างหน้า เราจะยังคงเดินหน้าและยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างประโยชน์ในฐานะผู้นำตลาดและใช้จุดแข็งของเราเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายด้านความยั่งยืนที่อุตสาหกรรมของเรากำลังเผชิญ" เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากบริษัทจะได้รับเลือกให้ติดในดัชนีความยั่งยืน ดาว โจนส์ เป็นปีที่สามติดต่อกันแล้ว ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดดัชนี FTSE4Good Emerging Index อีกด้วย

 
bottom of page