top of page
image.png

ฝากรัฐจี้แบงก์ช่วย ทำกฎหมายเอื้อ “ส่งออก”...ขายเพิ่ม 5% เรื่องชิลๆ


เรื่องร้ายเริ่มผ่านไป สิ่งดีๆ กำลังมา รองประธานฯพจน์เชื่อ ดันเป้าส่งออกโต 5% ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ตลาดหลักอย่างอเมริกายังปึ้ก ตลาด CLMV ปีนี้โตอย่างน้อย 10% แต่จะให้ดีภาครัฐต้องแก้กฎหมาย จัดระบบส่งออก ตลอดจนนโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุนผู้ส่งออกให้มีความคล่องตัวมากขึ้น พร้อมบ่นดังๆ ฝากรัฐบาลกระตุ้นแบงก์ปล่อยสินเชื่อให้ด้วย หลังทำเมินเฉยไม่ปล่อยกู้กลุ่มส่งออกอาหารแช่แข็ง มา 4-5 ปีแล้ว

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เเละนายกสมาคมเเช่เยือกเเข็งไทย กล่าวผ่านรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยทีมข่าวหนังสือพิมพ์ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมทูตพาณิชย์และวางแนวทางการส่งออกไทย ปี 2560 ให้ขยายตัวให้ได้ 5% ว่าเป็นการคาดหวัง การดำเนินงานต้องมีเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้เพิ่งผ่านเดือนที่ 2 ของปี 2560 ขณะที่เดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมปี 2559 ถือว่าการส่งออกดี ดังนั้น ในเดือนมกราคม 2560 ตัวเลขก็น่าจะดีด้วยเช่นกัน

“แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องดูอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เพราะขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในส่วนของรวมถึงไทยที่ยังไม่มีนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม แต่ส่วนตัวเชื่อว่า การส่งออกไทยปีนี้น่าจะขับเคลื่อนได้ดี เพราะจากที่รัฐบาลได้ทำมา 2 ปี เอกชนก็ร่วมมือดี ขณะที่โครงการที่ทำมาก็เริ่มมีการขับเคลื่อนออกมาแล้ว ส่วนของเอกชนเองก็มีการปรับตัวที่เรียกว่าดีที่จะรับสถานการณ์ตอนนี้ ส่วนสินค้าเกษตรที่ผ่านมาถือว่าตกต่ำไปพอสมควร หลังจากนี้น่าจะดีขึ้น จากที่มีความพยายามลดต้นทุน มีการบริหารเรื่องน้ำ และจากบทเรียนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลก็น่าจะรับมือได้ดีขึ้น ในการไม่ให้เกิดโอเวอร์ซัพพลายมากเกินไป ตรงนี้น่าจะดีขึ้น เชื่อว่าถ้าสินค้าเกษตรกลับมาได้ ตัวเลขของเราก็น่าจะดี”

สำหรับการที่จะทำให้ส่งออกของไทยขยายตัว 5% นั้น นายพจน์กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้ามาช่วย เพราะการอัดฉีดเงินน่าจะเป็นเรื่องการช่วยในส่วนการปรับปรุงโครงสร้างหรือรายละเอียดของเอสเอ็มอี ส่วนภาคเอกชนรายใหญ่และกลางสามารถเดินได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน โดยสิ่งที่ภาคธุรกิจส่งออกต้องการมากกว่าคือ การแก้กฎหมายเพื่อเอื้อส่งออก การจัดระบบของทางราชการเพื่อไม่ให้เกิดการซับซ้อนในขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวกับการส่งออกนโยบายการสนับสนุนต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางลงพื้นที่ต่างๆ ในทุกภาคส่วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้การส่งออกดีขึ้น

“ในแง่ของตลาดส่งออกนั้น ตลาด CLMV หรือตลาดชายแดน ก็มีสัดส่วนที่เยอะพอสมควร คือกว่า 25% แต่ตอนนี้ก็มีปัญหาบ้างในเรื่องเศรษฐกิจของเขาเอง รวมถึงเศรษฐกิจทั่วโลก การจับจ่ายใช้สอยอาจจะอืดไปบ้าง มองว่าในปีนี้น่าจะบวกอยู่ประมาณ 10% ก็พยายามผลักดันกัน ส่วนตัวมั่นใจว่าเศรษฐกิจชายแดนจะสามารถผลักดันได้มากขึ้น เพราะมีดีมานด์และซัพพลายที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านชอบสินค้าไทยอยู่แล้ว...

นอกจากนี้ ยังมั่นใจว่าตลาดเก่าที่ไทยรักษาอยู่อย่างสหรัฐอเมริกาที่เราส่งออกกว่า 11% ซึ่งแม้นโยบายของสหรัฐอเมริกาจะออกมาอย่างไร การส่งออกของไทยกับสหรัฐอเมริกาก็ไม่น่าจะต่ำไปกว่านี้ เพราะไทยเองส่งสินค้าหลักๆ ออกไปที่สหรัฐอเมริกา ขณะที่เรื่องจีเอสพี ของไทยก็ได้ต่อไปแล้ว ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร วันนี้คงต้องเน้นหลักใหญ่คือตลาดเก่าก็ต้องรักษาไว้ แต่จะผลักดันให้มากขึ้นอย่างไร และก็ต้องมองตลาดใหม่ทั้งหลายจากที่รัฐบาลได้ผลักดันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ตรงนี้จะทำอย่างไรให้เกิดผลชัดเจน ส่วนนี้ต้องมีการพัฒนากันมากกว่า ซึ่งตลาดเก่ามองว่ารักษาได้แน่นอน โดยเฉพาะถ้าสหรัฐอเมริกาออกนโยบายที่ชัดเจนออกมาก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น ว่าทิศทางการส่งออกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร”

ส่วนในสินค้าส่งออกกลุ่มสินค้าแช่เยือกแข็งไทยในปี 2560 นั้น นายพจน์กล่าวว่าจะมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ ซึ่งที่ผ่านมาเจอปัญหากุ้งตาย ทำให้ฟื้นขึ้นมาค่อนข้างช้าๆ แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น่าจะดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งปีนี้คาดว่าน่าจะส่งออกได้ประมาณ 3 แสนตัน มากกว่าปีที่แล้วที่ส่งออกรวม 2.6 แสนตัน

“ปัญหาสินค้าทะเล ก็มีเรื่อง IUU ที่รัฐบาลกำลังจัดระเบียบอยู่ ซึ่งระหว่างการจัดระเบียบก็อาจจะมีปัญหาเรื่องส่งออกบ้าง แต่ก็ยังพอไปได้ เอกชนก็มีการนำเข้าวัตถุดิบ ก็กำลังมีการแปรรูปอยู่ มองว่าหลากหลายเหตุการณ์ร้ายได้ผ่านมาแล้วและได้ผ่านไปหมดแล้ว จากนี้ก็น่าจะมีแต่ดีขึ้น ส่วนสินค้าปลาทูน่า ตัวเลขก็ยังบวกมา 2 ปีติดต่อกัน กลุ่มนี้ยังบวกได้อีก แต่หลักใหญ่คือสินค้ากลุ่มอาหารและเกษตรแปรรูป ที่สินค้าไทยมีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพ รูปแบบสินค้าและความปลอดภัยของอาหาร การตรวจสอบย้อนกลับที่ดีถือว่าเรามีชื่อเสียงดีในระดับโลก...

ส่วนที่มีข่าวเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในอาหารทะเล เป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง ซึ่งจริงๆ เอกชนรายที่ตรวจสอบพบ เขาจะมีปัญหามาตั้งแต่ปีที่แล้วคือมีปัญหาแค่ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ จากที่ส่งออกไป 17 ตู้คอนเทนเนอร์ ก็มีการถอดชื่อออกจากแบล็กลิสต์แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนต่างๆ แต่ก็มีลูกค้ารายหนึ่งขอตัวอย่างสินค้าประมาณ 5 กิโลกรัม เพื่อเอาไปเสนอขาย พอส่งไปที่สนามบินบอสตัน ทางสหรัฐอเมริกาก็พิจารณาว่าผู้ส่งออกรายนี้ยังอยู่ในลิสต์และยังไม่ได้ถอดออกมา ดังนั้น ผู้นำเข้าที่สั่งตัวอย่างไปเขาไม่ยอมตรวจเพราะต้องเสียค่าตรวจแพง เฉลี่ย 1 ตัวอย่างใช้เงินตรวจถึง 1-2 พันดอลลาร์ ผู้ประกอบการรายนั้นก็เลยทิ้งตัวอย่างไป ทำให้ทางสหรัฐอเมริกาเขียนรายงานว่ายังไม่ได้ตรวจ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสารตกค้าง ก็เลยเป็นข่าวว่าถูกปฏิเสธสินค้า และเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน...

แต่ปัญหาของกลุ่มส่งออกอาหารแช่แข็งก็คือแบงก์ไม่ปล่อยกู้เงินมา 4-5 ปี ก็อยากฝากรัฐบาลให้คุยกับสถาบันการเงิน แม้ว่าวันนี้ธุรกิจจะดูมีปัญหามาก แต่สุดท้ายก็เป็นกลุ่มธุรกิจที่นำเข้าเงินตรามาในประเทศไทย โดยสมาคมที่ดูแลสินค้าทูน่าก่อตั้งกว่า 40 ปี ขณะที่แช่เยือกแข็งก่อตั้งกว่า 80 ปี และเคยทำยอดส่งออกสูงสุดถึงกว่า 1.6 แสนล้านบาท ขณะที่ทูน่าเคยส่งออกสูงถึง 8-9 หมื่นล้านบาท หากรวมกันในหลายสมาคมก็หลายแสนล้านบาท ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ สร้างงาน ดังนั้น รัฐบาลควรประสานให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือบ้าง”

ทั้งนี้ นายพจน์กล่าวด้วยว่า แม้ว่าล่าสุดทางธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือ EXIM BANK จะมีนโยบายให้การสนับสนุนเงินกู้ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ และน่าจะเน้นในเรื่องการขายประกันภัยการส่งออกมากกว่า ซึ่งโดยผู้ประกอบการไม่ทราบว่าทางสถาบันการเงินกลัวอะไรถึงยังไม่ยอมปล่อยเงินกู้ให้กลุ่มส่งออกอาหารแช่แข็ง ซึ่งในความเป็นจริงนั้น EXIM BANK และธนาคารกรุงไทย น่าจะเป็นธนาคารที่ดูแลการส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรทั้งหลาย

“ส่วนกรณีเงินบาทที่แข็งค่าล่าสุดนี้ผู้ส่งออกก็ต้องระวังมาก ที่ผ่านมาได้คุยกับทางผู้บริหารแบงก์ชาติ ต้องบอกว่าไทยเนื้อหอมเรื่องตลาดทุนตลาดหุ้น แต่บางทีต้องระวัง เพราะค่าเงินบาทจะเป็นตัวที่กระทบแรง ไม่ใช่แค่เรื่องส่งออก จะรวมถึงเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ดังนั้น อย่าให้ค่าเงินบาทต่ำกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ มิฉะนั้นจะลำบาก”

 
bottom of page