top of page
image.png

ให้โลกเตรียมรับมือ..FED ยุคทรัมป์ เปลี๊ยนไป๋!! กนง.เดินตามก้นต้อยๆ


ดร.บุญธรรมชี้...เฟดยุคทรัมป์ถูกชี้นำ ไม่เป็นอิสระเหมือนยุคโอบามา เยลเลนโอนอ่อนผ่อนตาม ปรับขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ 2-3 ครั้ง ฟากยุโรป ญี่ปุ่น นั่งตีขิม รับอานิสงส์ดอลลาร์แข็ง ไม่ต้องเปลืองแรงกระตุ้นศก. ส่วนกนง.ของไทย เดินตามก้นเฟดต้อยๆ มีปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง แต่ระวังเกมพลิก...ช่วงกลางปี Fund Flow โลกจะผันผวน เฟดอาจละล้าละลัง ตีโจทย์เศรษฐกิจ-การเงินไม่แตก กลับลำไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อ กดดันยุโรป-ญี่ปุ่น งัดไม้เด็ดกระตุ้นเศรษฐกิจ Fund Flow จะไหลออกจากอเมริกาไปยุโรป-ญี่ปุ่นทันที ที่น่ากลัวคือ Fund Flow จะไหลออกจากไทยด้วย หุ้นไทยมีสิทธิ์ถลาร่วงรุนแรง

ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ นักวิชาการ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงแนวโน้มและนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาหรือเฟดว่า ค่อนข้างแน่ใจว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย อยู่ที่ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หรือมีเซอร์ไพรซ์ปรับขึ้นไป 0.50% หรือไม่

“เฟดยุคนี้ไม่มีอิสระ 100% เหมือนยุคบารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพราะปกติเวลาเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะใช้วิจารณญาณของคณะกรรมการทุกท่าน หรือบางครั้งมีการใช้เป็นสูตรคณิตศาสตร์ ถ้าสมมติเงินเฟ้อขึ้น หรือจีดีพีขึ้น เท่านี้ ก็จะขึ้นดอกเบี้ย เข้าใจว่าทีมของ โดนัลด์ ทรัมป์ อยากจะให้เฟดใช้สูตรคณิตศาสตร์มากขึ้น ซึ่งความจริงจากช่วงกลางดึกของวันศุกร์ที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา รองประธานเฟดคือ สแตนลี่ ฟิชเชอร์ เพิ่งพูดอีกครั้ง เป็นการพูดถึง 2 ครั้งในช่วง 10 วัน ที่พูดในเรื่องกฎการขึ้นดอกเบี้ย ค่อนข้างจะเห็นว่ามีการแทรกแซง คือไม่แทรกแซงแบบชัดเจน แต่ส่งซิกว่าอยากให้เปลี่ยนลักษณะของแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยในระดับหนึ่งในภาพใหญ่”

ผศ.ดร.บุญธรรมกล่าวต่อด้วยว่า ในช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ทั้งประธานเฟดนิวยอร์ก และเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมดีมาก ทั้งเรื่องดอกเบี้ยที่แท้จริงซึ่งตอนนี้ห่างจากจุดที่เป็นระดับเหมาะสมแค่ 2% อัตราการว่างงานห่างจุดระดับที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาแค่ 0.5% อัตราเงินเฟ้อก็ใกล้ 2% เต็มที ซึ่งเจเน็ต เยลเลน พูดชัดเจนว่า ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจโดยเฉพาะเรื่องการจ้างงานดีขึ้น ก็จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่นอน

“ต้องบอกว่ามีการส่งสัญญาณจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เหมือนกันว่า อยากจะให้ขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็ไม่ได้พูดตรงๆ บอกประมาณว่าถ้าเป็นกฎทางคณิตศาสตร์ ต้องขึ้นไปนานแล้ว มองว่าเป็นความกดดันทางอ้อมเล็กน้อย จึงเชื่อว่าการประชุมเฟดวันที่ 14-15 นี้ โอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยน่าจะ 97% ไม่น่าต่ำกว่านี้...

เจเน็ต เยลเลน พูดค่อนข้างชัดว่าปี 2560 จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแน่นอน ก็หมายความว่าในปีนี้จะมีการขยับดอกเบี้ย 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำ ดังนั้น ตลาดก็จะประเมินว่าอาจจะ 2-4 ครั้ง อยู่ที่จังหวะว่าจะมีวิกฤตอะไรหรือไม่ แต่โอกาสสูงสุด ส่วนตัวมองว่า 3 ครั้ง ถ้าสมมุติว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาน่าจะมีปัญหาเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ขึ้นไปด้วยความมั่นใจ ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นปัจจัยเชิงลบเล็กๆ แต่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาทำนิวไฮ โดยสาเหตุหลักมาจากเฟดชมเศรษฐกิจว่าดีมาก และส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ย เพราะเศรษฐกิจดีจริงๆ คือมองอย่างนั้น และตลาดรับรู้...

แต่อีกจุดหนึ่งคือตลาดบอนด์หรือตลาดพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะถ้าดู 10 ปี ถือว่าผลตอบแทนค่อนข้างต่ำประมาณ 2.5% ซึ่งการที่ค่อนข้างต่ำมันเสริมให้มูลค่าเวลาประเมินมูลค่าหุ้นแต่ละตัวของในตลาดสหรัฐอเมริกาค่อนข้างสูง ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี จะเกิน 3% กว่าแน่ๆ และตรงนี้จะเป็นปัจจัยทำให้ดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์ที่ 2.1-2.2 หมื่นค่อนข้างมีปัญหาในการยืน และน่าจะยืนได้ยาก...

เป็นจุดที่ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นหรือยุโรปดูแล้วสบายตัว แทบจะไม่ต้องกระตุ้นอะไรเลย เสมือนว่าดอลลาร์แข็ง แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างน้อย 2 ครั้ง ทำให้ญี่ปุ่นเองอยู่เฉยๆ เยนอาจจะอ่อนค่าลง ทำให้ดัชนีนิเคอิขึ้นมา โดยตัวธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจไม่ต้องทำอะไรมาก ซึ่งรวมถึงยุโรปด้วย การที่เศรษฐกิจอีซีบีร้อนแรง ถ้าจะกระตุ้นต่อก็เสี่ยงเหมือนกัน เมื่อเฟดมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ทางอีซีบีอาจค่อนข้างโชคดีว่าอาจไม่ต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มหรือทำ QE ก็ได้ ตรงนี้กลายเป็นว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นหรือยุโรป หรือตลาดเงินญี่ปุ่นกับยุโรปได้อานิสงส์จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวโน้มจะกระตุ้นเศรษฐกิจ มีแนวโน้มจะสร้างโครงสร้างพื้นฐาน”

ส่วนผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดต่อไทยนั้น ดร.บุญธรรมกล่าวว่า ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.อาจจะต้องมีนโยบายคล้อยตามไปในทิศทางเดียวกับเฟด ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ไทยคงยากที่จะอยู่นิ่งๆ ถ้าเฟดขึ้น 2 ครั้งเหมือนในอดีต ไทยก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง

“เพราะเงินที่ไหลเข้าไหลออกของไทยจะเชื่อมโยงกับสหรัฐอเมริกามาก ด้วยเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันมากๆ ทำให้นโยบายการเงินของไทยผูกกับสหรัฐอเมริกาโดยอัตโนมัติ ดังนั้น ถ้าสมมุติว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกเดือนนี้ และครั้งที่สองในเดือนมิถุนายน ทางกนง.ก็ต้องขยับสัก 1 ครั้ง เพราะทุกครั้งที่เฟดขึ้นสองครั้งแล้วไทยไม่ขึ้นตาม สักพักจะมีปัญหาในมิติใดมิติหนึ่ง เพราะไทยเชื่อมโยงกับสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก…

แต่ถ้าเป็นนโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อไทยสักเท่าไหร่ จะเห็นว่าจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พูดในสภาคองเกรสล่าสุด นโยบายการค้า นโยบายภาษี และนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน จะอยู่ท้ายๆ ซึ่งพูดน้อยมาก ดังนั้นก็น่าจะเชื่อได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่มีทีมงานที่ชำนาญด้านการค้าจริงๆ ไม่มีคนเชี่ยวชาญด้านภาษีและโครงสร้างพื้นฐานเท่าไหร่ ทำให้ไม่กล้าที่จะเผยในประเด็นนโยบายการค้า โครงสร้างภาษีการค้ามากนัก...

“ส่วนตัวมองว่าลักษณะที่จะมีผลกระทบกับการค้าของไทย ยังใช้เวลาอย่างน้อยอีกปีครึ่ง เชื่อว่ามุมการค้าของไทยที่จะมีผลจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ คงยังจะหาเวลาปรับตัวได้อีกพักใหญ่ เพราะดูแล้วตอนนี้ถ้าไม่เรียงลำดับเอาอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา โดนัลด์ ทรัมป์ จะคะแนนตกเรื่อยๆ และเชื่อว่าสิ่งที่จะนำออกมาแรกๆ น่าจะเป็นเรื่องประกันสุขภาพ และจะแตะเรื่องการค้าที่เกี่ยวกับจีนหรือไทยในเป็นปีที่สองหรือสาม ดังนั้น มิติของการค้า การส่งออก การนำเข้า เราอาจจะมีเวลาบ้าง”

ทั้งนี้ ผศ.ดร.บุญธรรมสรุปว่าประเด็นความเร่งด่วนในแง่ของไทยคือเรื่องนโยบายการเงินของกนง. ที่แบงก์ชาติจะต้องจับตาดูกระแสฟันด์โฟลว์ ให้ความสำคัญกับค่าเงินที่จะผันผวนค่อนข้างมากในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเดือนมิถุนายน

“ในมุมของฟันด์โฟลว์ค่อนข้างเชื่อเลยว่าช่วงนี้น่าจะค่อนข้างผันผวนมาก เฟดดูประหนึ่งว่าน่าจะขึ้นดอกเบี้ยเป็นแบบขาเดียว คือขึ้นอย่างเดียว แต่ส่วนตัวมองว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ เชื่อว่าเฟดจะชะงักในช่วงกลางปี คือกระแสฟันด์โฟลว์ในเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนจะชัดเจน เฟดจึงขึ้นดอกเบี้ย แต่ถ้ามากลางปีหรือประมาณไตรมาสสาม เชื่อว่าเฟดก็เริ่มไม่แน่ใจว่าจะมีเรื่องอะไรหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นจีน หรือยุโรป หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับโดนัลด์ ทรัมป์ เฟดก็จะเริ่มชะงัก

“การชะงักก็คือสมมุติว่าเฟดเริ่มส่งสัญญาณว่าดอกเบี้ยจะไม่ขึ้น ตรงนี้จะไปกดดันตัวยุโรปและญี่ปุ่นให้มีการงัดอาวุธใหม่ออกมา ตรงนี้จะทำให้ฟันด์โฟลว์ค่อนข้างเปลี่ยนทิศทางจากที่จะไปสหรัฐอเมริกาก็อาจไปที่อื่นแทน ซึ่งตรงนี้จะเป็นการหมุนที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างคาดการณ์ได้ยาก ความผันผวนในช่วงกลางปีจนถึงสิงหาคมและกันยายนในหุ้นไทยค่อนข้างสูง และโอกาสที่ออกมาเป็นทางลบก็ค่อนข้างสูงด้วย เพราะในตลาด Emergine Market หรือตลาดเกิดใหม่นั้น ตอนนี้เงินค่อนข้างจะไหลออก แต่ไม่ได้ไหลออกในฝั่งไทย แต่ไปไหลออกในตลาดใหม่อื่นๆ ถ้าเกิดฟันด์โฟลว์เปลี่ยนทิศในช่วงกลางปี โดยเฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่ยุโรปกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมา ฟันด์โฟลว์จะไหลกลับเข้าไปในฝั่งญี่ปุ่นและยุโรป ตอนนั้นไทยจะเริ่มโดนถอนเงินออก ตอนนี้ภาพของไทยติดอยู่ที่สหรัฐอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆและตัวไทยจะได้ประโยชน์จากดอลลาร์แข็งค่าขึ้น”

 

Photo Credit: https://www.federalreserve.gov/aboutthefed/aroundtheboard/history-buildings.htm

 
bottom of page