top of page
image.png

แล้งนี้ไทยเจอศึกหนัก!! รับมือยาวถึงมิ.ย.-ก.ค. แห่ทำนาปรังเพิ่ม 3 เท่า


ปริมาณน้ำในอ่างทั่วประเทศขณะนี้มีไม่ถึงครึ่งของความจุอ่าง แถมพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังมากกว่าปีที่แล้ว 3 เท่า ขณะที่มีน้ำเค็มหนุนสูงช่วงหน้าแล้ง ต้องใช้น้ำจืดผลักดันน้ำเค็มในปริมาณที่มากขึ้น ส่วนภูมิอากาศอยู่ในภาวะปกติค่อนไปทางแล้ง ทอดยาวไปถึงมิ.ย.-ก.ค. ปรากฏการณ์เอลนินโญ่แบบอ่อนๆ อาจทำให้ฝนตกล่าช้า

นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศของไทยในขณะนี้ว่ามีอยู่ประมาณ 20,600 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความจุของอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ

“แต่ถ้าเทียบกับปีที่แล้วถือว่าสถานการณ์ดีกว่า โดยปริมาณน้ำในขณะนี้มี 1.5 เท่าของปีที่แล้ว ส่วนที่มีความเป็นห่วงคือ ปีที่แล้วไม่ได้เพาะปลูกอะไรกันมาก มีการควบคุมการเพาะปลูกให้มีไม่มาก ปีนี้เกษตรกรเพาะปลูกกันมากเพราะเห็นว่ามีปริมาณน้ำเยอะ แต่สถานการณ์ปลายหน้าฝนมีฝนตกน้อย ถึงแม้ภาคใต้จะตกเยอะ แต่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกของไทยซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นการเกษตรมีฝนตกน้อย ทำให้น้ำเหลืออยู่ในอ่างเก็บน้ำไม่ถึงครึ่งอ่าง...

จึงมีความน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะภาคกลางในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด ทางกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์วางแผนให้มีการปลูกข้าว 4 ล้านไร่ มากเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วที่มีการเพาะปลูกกัน 2 ล้านไร่ และยังมีความเสียหายที่ต้องมาชดเชยกันอยู่ แต่ปีนี้ก็วางแผนว่าน้ำมีมากขึ้น ถ้าพูดถึงอ่างเก็บน้ำหลักที่ส่ง 22 จังหวัดหลักภาคกลางคืออ่างเก็บน้ำภูมิพล อ่างเก็บน้ำสิริกิติ์ อ่างเก็บน้ำไทรน้อย และอ่างเก็บน้ำป่าสัก ปัจจุบันมีน้ำอยู่ 6,700 ล้านลูกบาศก์เมตร สูงกว่าปีที่แล้ว 2 เท่า แต่ถ้ามองกันจริงๆ คือเหลืออยู่ 27% ของตัวอ่างเก็บน้ำ ถือว่าไม่มาก ขณะที่ราชการวางไว้ว่าจะให้เกษตรกรปลูกข้าวใน 22 จังหวัดให้ได้จำนวน 4 ล้านไร่”

นายชวลิตกล่าวด้วยว่า เมื่อดูจากภาพถ่ายดาวเทียมของ 22 จังหวัดดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมาพบว่ามีการ ปลูกข้าวไปแล้ว 6.3 ล้านไร่ ซึ่งมากกว่าที่ให้ปลูกเพียง 4 ล้านไร่ ดังนั้น จึงมีผลกระทบต่อแผนการจัดส่งน้ำที่ทางราชการเตรียมส่งให้ พื้นที่การปลูกพืชหรือปลูกข้าวต่างๆ พื้นที่ภาคอุตสาหกรรม พื้นที่สำหรับอุปโภคบริโภค รวมทั้งปริมาณน้ำสำหรับผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยา

“ก็อาจจะต้องใช้น้ำมากกว่าแผนที่วางไว้ ก็เป็นส่วนที่น่าเป็นห่วงอยู่เพราะมีการเพาะปลูกไปแล้ว แต่ถ้ามาตรวจสอบหรือดูต่อว่าการจัดสรรน้ำจะทำอย่างไร ซึ่งน้ำจาก 4 อ่างเก็บน้ำรวมกันมีปริมาณ 6,700 ล้านลูกบาศก์เมตร ถ้าปลูกข้าวไปแล้วกว่า 6 ล้านไร่ ก็ต้องส่งน้ำไปภาคเกษตรกรรมวันละ 36 ล้านลูกบาศก์เมตร

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมใช้น้ำวันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร และภาคอุปโภคบริโภคใน 22 จังหวัดที่ต้องใช้น้ำจากลำน้ำที่ส่งมาจาก 4 อ่างเก็บน้ำใหญ่นี้วันละ 8 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือน้ำลงไปผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำท่าจีนวันละ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งไปผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา 4-5 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งหมด 1 วันใช้น้ำประมาณ 54 ล้านลูกบาศก์เมตร และก็มีบางช่วงจังหวะที่น้ำทะเลหนุนสูง อย่างในช่วงที่ผ่านมาน้ำทะเลหนุนสูงทำให้น้ำประปาของกรุงเทพมหานครที่ได้สูบน้ำจากปทุมธานี น้ำเค็มมากไป กรมชลประทานจึงต้องมีการปรับวิธีการส่งน้ำที่เพิ่มขึ้นเพื่อดันน้ำเค็ม ในช่วงต่อจากนี้ไปเริ่มมีน้ำเค็มมาหนุนสูงแล้ว ก็เลยทำให้การใช้น้ำเพื่อผลักดันน้ำเค็มช่วงมีนาคม-เมษายน 2560 เพิ่มมากขึ้น

จึงอยากขอความร่วมมือภาคเกษตรกรรมที่ใช้น้ำเยอะสุดถึง 36 ล้านลูกบาศก์เมตร ให้ช่วยกันใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ถ้าปลูกข้าวกัน 4 ล้านไร่ เรายังมีน้ำสำรองอยู่ หมายถึงว่าเดือนพฤษภาคมอาจมีฝนตกล่าช้า ใน 4 อ่างเก็บน้ำนี้มีน้ำอยู่ประมาณ 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เรียกว่าพอที่จะเพาะปลูกได้ แต่ด้วยภาวะที่แล้งเร็วและทอดยาวไปนาน การใช้น้ำต้องมากกว่าเกณฑ์ โดยเฉพาะในส่วนของการผลักดันน้ำเค็มมีมากกว่าเกณฑ์ ก็เลยต้องขอให้ทางเกษตรกรใช้น้ำอย่างประหยัด อย่าปล่อยน้ำไหลไปอย่างไม่มีการควบคุม”

ทั้งนี้ นายชวลิตยังกล่าวถึงสภาพภูมิอากาศใน 6 เดือนข้างหน้าว่า จากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ โดยการวัดอุณหภูมิน้ำทะเล จากนั้นนำมาวิเคราะห์แบบจำลอง พบว่าภูมิอากาศยังเป็นปกติ ค่อนไปทางแล้งทอดยาวไปถึงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม

“ฝนน่าจะเริ่มตกแบบจริงจังในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยสมัยก่อนการเปิดโรงเรียนวันที่ 16 พฤษภาคมก็จะเริ่มมีฝนตก แต่ปัจจุบันจะล่าช้า อย่างปีที่แล้วล่าช้าไป 1 สัปดาห์ ในปีนี้ถ้าสภาพอากาศเรียกว่าเป็นเอลนินโญ่อ่อนๆ ก็จะทำให้มีโอกาสที่ฝนจะตกล่าช้า อย่างปีที่แล้วน่าจะตกวันที่ 15 พฤษภาคมหรือเปิดเทอมแล้วฝนตก แต่พอเปิดเทอมแล้วฝนไม่ตก เกิดความล่าช้า ก็กลายเป็นฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม...

รวมถึงถ้าหากเกษตรกรใจร้อนเห็นฝนตกปลายเดือนพฤษภาคมแล้วเอากล้ามาปักดำ ปรากฏว่าเดือนมิถุนายนเกิดฝนทิ้งช่วง ก็จะเกิดเรียกร้องเอาน้ำจากอ่างเก็บน้ำอื่นให้ปล่อยเข้ามา ใครไม่ได้อยู่ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำก็จะเกิดกรณีข้าวตาย ก็อยากจะให้ช่วยกันปลูกข้าวแบบเปลี่ยนพฤติกรรม โดยฤดูกาลที่ถูกต้องตรงตามฤดูกาลก็ต้องปลูกข้าวในวันแม่ แล้วไปเกี่ยวข้าวที่วันพ่อ คือช่วงต้นเดือนสิงหาคมเริ่มหว่านกล้า แล้วมาปักดำหลังวันแม่ มาเก็บเกี่ยววันพ่อ ถ้าเป็นแบบนี้ความเสี่ยงจะน้อย แม้ว่าในปี 2560 นี้จะเป็นปีเอลนินโญ่อ่อนๆ มีฝนน้อยหรือน้ำน้อย แล้งนี้ก็ขอให้ใช้น้ำน้อยๆ แล้วนาปีครั้งหน้าขอให้ปลูกวันแม่และเก็บเกี่ยววันพ่อ

 
bottom of page