
เปิดแผนลุยส่งออกปี 2560 ทะลุเป้าเพิ่ม 5% หลังประชุมใหญ่ทูตพาณิชย์ไทยทั่วโลก 58 ประเทศร่วมถกทั้งภาคธุรกิจ/เอกชน มั่นใจทำได้หลังประเมินสถานการณ์รอบด้าน/รอบโลกเอื้อต่อส่งออก “สินค้าไทย” ถึงพร้อมด้วยมาตรการหนุนจากรัฐแข็งขัน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศภาคใต้ การนำ “อธิบดีมาลี” ลุยเต็มอัตราศึก ครบเครื่องทุกด้าน ทุกสมรภูมิการค้า ทั้งในประเทศ/ต่างประเทศ
นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงบรรยากาศการประชุมเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่องเป้าหมายการส่งออกในปี 2560 ที่ต้องเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5% โดยในการประชุมครั้งนี้ได้เชิญสำนักงานพาณิชย์ต่างประเทศที่มี 58 ทั่วโลกมาคุยกัน และยังได้เชิญภาคเอกชนเข้าร่วม ล้วนเป็นบุคคลสำคัญของการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นประธานสภาอุตสาหกรรม ร่วมกับรองนายกฯ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สภาหอการค้า หรือสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ
ในการประชุมมีการพูดคุยกันถึงหัวข้อใหญ่อยู่ 2-3 เรื่อง โดยมีการคาดการณ์สถานการณ์การส่งออกในแต่ละภูมิภาคเป็นอย่างไร แต่ละภูมิภาคมีเป้าหมายการส่งออกอย่างไรบ้าง รวมถึงการผลักดันการส่งออกเชิงยุทธ์อย่างไรบ้าง ก็จะมาดูกันว่าสถานการณ์ของแต่ประเทศหรือภูมิภาคมีสถานการณ์สำคัญอย่างไรแล้วจะกระทบการค้าระหว่างประเทศอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ยังมีการแสดงความคิดเห็นระหว่างภาคเอกชนว่าจะมีการทำอะไรบ้าง ซึ่งก็เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในที่ประชุม
เหตุที่ต้องตั้งเป้าหมายว่าในปีนี้ต้องส่งออกเพิ่มให้ได้ 5% เป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่ก็ต้องทำให้บรรลุให้ได้ มีปัจจัยหลายประการที่คิดว่าทำให้เป้าหมายบรรลุถึง 5% โดยเป็นเรื่องของการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2560 IMF ได้คาดการณ์ในปี 2560 เติบโต 3.4% จากที่เมื่อปี 2559 เติบโตเพียง 3.1% และยังมีกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะอินเดียหรืออาเซียน ในขณะที่ประเทศในกลุ่มหลักยังทรงตัว เช่น ญี่ปุ่น จีน หรือ ยุโรป จะเห็นได้ว่าในอาเซียนได้ส่งออกถึง 25% ของการส่งออกรวม ถ้าอาเซียนเติบโตก็เป็นปัจจัยที่ดีสำหรับไทยมากในการส่งออกที่เพิ่มขึ้น อีกเรื่องคือความต้องการของสินค้าอุปโภคบริโภคก็ยังเป็นปัจจัยบวก ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลทำให้ผู้บริโภคในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมีอำนาจการซื้อเพิ่มขึ้น มีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น นับว่าเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนไทยได้
“ปัจจัยเสี่ยงก็ยังมีเช่นกัน คือ ค่าเงินมีความผันผวน การเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ และยังมีมาตรการของคู่ค้าไทยที่เปลี่ยนไป แต่ไทยก็ยังมีแนวทางที่ผลักดันการส่งออกปี 2560 ว่าทำอย่างไรให้ส่งออกได้ 5% ซึ่งไทยก็จะผลักดันทั้งทางด้านนโยบายและกิจกรรมการส่งเสริมการส่งออก โดยมีแผนว่าจะทำ FTA กับใครบ้าง มีแผนการทำพันธมิตรทางการค้ากับใครบ้าง ซึ่งในแผนของไทยมีเยอะมาก โดยไทยมี FTA ถึง 92 ฉบับทั่วภูมิภาคและที่จะทำอีกมีหลายฉบับ” นางมาลีกล่าว และว่ารองนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายไว้ว่า FTA อาจจะขับเคลื่อนได้ไม่เร็วมากนัก แต่จะขับเคลื่อนโดยการทำพันธมิตรกัน เช่น ไทยจะไปทำพันธมิตรกับประเทศไหนก็จะมีแผนว่าให้อะไรกันก็มาคุยกัน ก็ทำให้การเจรจาได้ง่ายขึ้น การจะทำได้เร็วกว่า FTA ซึ่งแผนการทำ Pacific Partnership ยังมีอยู่อีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศในอาเซียนที่มีหลายประเทศที่ไทยยังไม่ได้ทำ หรือตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ละตินอเมริกา ยุโรป แม้กระทั่งอังกฤษก็อยู่ในแผนการทำ Pacific Partnership เพราะว่าเมื่ออังกฤษจะออกจาก EU แล้ว ไทยก็เตรียมจะไปทำพันธมิตรกับอังกฤษในเรื่องอื่นๆ ซึ่งได้เตรียมการไว้อีก 2 ปีที่อังกฤษจะออกจาก EU
“ในช่วงเวลานี้เป็นแผนการทำทางด้านนโยบาย รวมถึงแผนการผลักดันเรื่องส่งเสริมการส่งออก เช่น การค้าชายแดน ก็เป็นอีกเรื่องที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญมาก โดยไทยติดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่มีความนิยมชมชอบสินค้าไทยอยู่มากมาย จึงต้องไปดูว่าการค้าชายแดนและในปีนี้ได้มีการตั้งเป้าหมาย 1.8 ล้านล้านบาท ในขณะที่ปี 2559 ทำได้ 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6 ล้านล้านบาท ทีนี้การจะไปทำการค้าชายแดนต้องไปดูกฎระเบียบที่ขัดขวางการค้าชายแดนไม่คล่องตัว ก็ต้องไปเจรจาหรือคุยกันโดยจะใช้ Pacific Partnership เข้าไปหารือกัน การประชุมกรรมการส่งเสริมการค้าชายแดนและการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นเวทีที่จะมาปลดล็อคกันว่าเรื่องจะปลดล็อกให้ทำง่ายขึ้น มีอะไรที่จะต้องไปส่งเสริมหรือไม่ มีกิจกรรมอะไรที่ต้องไปส่งเสริม เช่น คอนเซ็ปต์ Expo ที่แม่สอด หรือการไปตั้งศูนย์กระจายสินค้าหรือไม่ อีกเรื่อง คือ การพัฒนาผู้ประกอบการอย่างไรให้ไปค้าขายชายแดนได้มากขึ้น การจะสร้างเครือข่ายอย่างไร คือ มีโครงการที่จะทำ Networking ซึ่งการทำการค้าถ้ารู้จักกันหรือเป็นเพื่อนกันก็จะยั่งยืน ดีกว่าจะไปทำเพียงแค่ซื้อขาย การสร้าง Networking เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำการค้า”
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า ไทยยังมีกิจกรรมโปรโมชั่นอีกหลายแผนงานที่จะทำ เช่น การทำกลยุทธ์ 3 ใหม่ คือ การสร้างสินค้าใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม บริการธุรกิจใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม หาช่องทางตลาดใหม่ๆ เช่น จากปกติส่งตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็อาจจะไปส่งไปที่บริษัททำแคทเทอริ่งหรือไม่หรือกลุ่มตลาดใหม่ในประเทศที่สามที่มีอำนาจการซื้อสูงหรือกลุ่มตลาดผู้สูงอายุ ก็เป็นกลยุทธ์ 3 ใหม่ที่ต้องดำเนินการ อีกเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การค้าออนไลน์ e-Commerce จะทำการผลักดัน e-Commerce ให้ไปเชื่อมกับแพลทฟอร์มใหม่ๆ เช่น Amazon หรือ Alibaba รวมถึง Thaitrade.com เป็นอีกอันที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดตั้งขึ้นมา เป็นตลาดที่ซื้อขายกันทั้ง B2B หรือ B2C โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ก็ขอประชาสัมพันธ์ว่าผู้ประกอบการที่สนใจทำการค้าออนไลน์ก็เข้ามาคุยกับ Thaitrade.com
“อีกเรื่องที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมตัวแทนการค้าวลาดีวอสตอคระหว่างประเทศ ซึ่งสินค้าหากอยู่ที่รัสเซียแต่เราไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ก็ไปจ้างคนท้องถิ่นเป็นผู้แทนการค้าเพื่อดูแลเขตรับผิดชอบเพื่อที่จะบุกตลาดในเชิงรุก ปัจจุบันได้ตั้งไว้ 6 แห่ง เช่น ฮิโรชิมา กรุงลิมา เสียมราฐ คาซัคสถาน หนิงเซียะ หรือวลาดิวอสตอค และยังมีแผนการขยายอีก 14 แห่ง ปีนี้ก็จะเปิดสาขาเพิ่มที่ประเทศปากีสถานและไอซ์แลนด์ ก็เป็นอาวุธที่จะผูกติดไปให้กับต่างประเทศ” นางมาลีกล่าวและพูดถึงเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญ เห็นได้ว่าโลกการค้าไม่ได้ดูเพียงคุณภาพสินค้าหรือราคา จะไปดูถึงแรงงาน สิ่งแวดล้อม หรือ CSR เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างภาพลักษณ์และสินค้าไทยมีปัจจัยที่มาตรฐานทุกเรื่อง ไม่ว่าจะพูดถึงมาตรฐานแรงงานไทย มาตรฐานสิ่งแวดล้อมไทย ทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีเครื่องหมายรับรอง Demark ที่ร่วมกับหน่วยงานอย่างกระทรวงแรงงานหรือกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ได้มีการร่วมมือกันเพื่อออกเครื่องหมายรับรองนี้ ผู้ส่งออกที่สนใจจะสมัครเครื่องหมาย Demark มาสมัครได้ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เมื่อผู้นำเข้าหรือผู้บริโภคเห็นเครื่องหมาย Demark รู้เลยว่าเครื่องหมายนี้ได้มาตรฐานทุกๆ เรื่อง
“เราจะยังมีงานแฟร์อีกมากมายที่จะแสดงว่าไทยเป็นหนึ่งในโลก เช่น THAIFEX ที่เป็นหนึ่งในเอเชีย หรือ บางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ ไทยก็เป็น 1 ใน 5 ของโลก อยากจะเชิญชวนว่างานนี้เป็นงานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ คนที่ต้องการหาวัตถุดิบ เครื่องจักรในการผลิต เครื่องประดับต่างๆ มีทุกอย่างในงานนี้ซึ่งเป็นจุดเด่นของไทยอย่างหนึ่งที่งานบางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ เป็นงานนานาชาติมากขึ้น คนต่างชาติมาออกบูธเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็น 1 ใน 3 ของโลก จากปัจจุบันเป็น 1 ใน 5 ของโลก สำหรับงานบางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ โดยงานจะจัดขึ้น 2 ครั้ง คือ เดือนกุมภาพันธ์ กับ เดือนกันยายน โดย 3 วันแรกจะเป็นผู้ที่ทำการค้ามาเจรจาธุรกิจ ส่วนอีก 2 วันเปิดให้ประชาชนทั่วไป”
ส่วนการเจรจาคู่ค้ากันในงานบางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ ปีนี้นางมาลีเปิดเผยว่าดีมาก ทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีการทำ Business Matching ให้ด้วย มีผู้มาลงทะเบียนขอทำ Business Matching ประมาณ 200-300 ราย แต่ละวันเจ้าหน้าที่รายงานว่า 150-200 คู่มาคุยกัน คาดการณ์ว่ามีเงินหมุนเวียนภายในงาน 17,000 ล้านบาทที่จะมีการซื้อขายกัน อยากเชิญชวนให้มางานนี้เพราะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ยกเว้นภาษีนำเข้าจิวเวลรี่ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เพราะไทยต้องทำให้เป็นจิวเวลรี่ฮับของโลก งานนี้ได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าเช่นเดียวกัน คือจะมาดูสินค้าจากกลุ่ม CLMV กัมพูชา พม่า ลาว หรือ เวียดนาม ที่เป็นสินค้าน่าสนใจราคาไม่แพง หรือจะมาดูสินค้าไทยแบรนด์ที่มีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สร้างแบรนด์เป็นของตัวเองเพื่อมาขายในงานนี้
อย่างไรก็ดี มีหลายแบรนด์ของคนต่างประเทศได้มาดูอย่างญี่ปุ่นได้สนใจที่จะเอาแบรนด์ไทยไปขายในห้างดังในญี่ปุ่น ถือว่าผู้ประกอบการรายใหม่หรือ Young Designer มีความเก่งมาก ทำงานได้ถูกใจผู้บริโภคต่างประเทศ เชื่อหรือไม่ว่ามีเครื่องประดับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน เครื่องประดับผู้ชายก็ไปเดินหาดูได้ว่าจะมีการจัดเป็นกลุ่มๆ ว่าโซนนี้เป็นเครื่องประดับสำหรับงานแต่งงาน เครื่องประดับสำหรับผู้สูงวัย เครื่องประดับสำหรับสัตว์เลี้ยง เครื่องประดับสำหรับโชคลางก็มีที่ได้รับความนิยมจากหลายประเทศ โดยงานบางกอก เจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 กันยายน ที่อิมแพ็ค อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 โดยงานครั้งหน้าจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 60 ก็จะมีอะไรใหม่มานำเสนอ โดยได้จัดมา 30 ปี ปีละ 2 ครั้ง