
ทริสเรทติ้ง ระบุ การลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม หรือ Mixed-Use ไม่มีผลต่ออันดับเครดิตของ “ดุสิตธานี” แต่ฐานะการเงินของบริษัทจะอ่อนตัวลงเนื่องจากบริษัทจะสูญเสียรายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการซึ่งคิดเป็น 20% ของรายได้รวม
จากกรณีที่ บริษัทดุสิตธานี (DTC) ได้รับการต่อสัญญาเช่าที่ดิน 30 ปี และสิทธิในการเช่าที่ดินต่อเนื่องอีก 30 ปี และยังได้สิทธิเช่าที่ดินเพิ่มรวมเป็น 24 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม จากสำนักทรัพย์สินฯ และได้ตัดินใจเข้าร่วมธุรกิจครั้งใหญ่กับ กลุ่ม เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) จัดที่ดิน 23 ไร่ผุดโครงการ “มิกซ์ยูสซ์” ขนาดใหญ่ที่จะมีทั้ง โรงแรม อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และมุ่งเน้นในเรื่องการมอบพื้นที่สีเขียวให้กับโครงการ มูลค่ากว่า 3.67 หมื่นล้านบาท โดยงบลงทุนในส่วนของบริษัทรวมแล้วจะอยู่ในระดับไม่เกิน 13,000 ล้านบาท
ด้วยความที่ผู้บริหาร ดุสิตธานี มีความเห็นว่า โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสีลมแห่งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพ มาตั้งแต่ปี 2513 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมกรุงเทพ ให้ก้าวสู่การเป็นมหานครที่มีความทันสมัยแห่งหนึ่งและยืนหยัดเป็นโรงแรมชั้นนำจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 48 มาถึงวันนี้ จึงต้องการปรับตัวครั้งใหญ่ โดนมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาโครงการบนที่ดิน ผืนนี้ให้เป็นโครงการระดับโลก เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของดุสิตธานี ซึ่งเป็นบริษัทไทยที่มีชื่อเสียง และได้รับการยอมรับบนเวทีระดับโลกมาอย่างยาวนานกว่า 65 ปี ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอีกครั้ง
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี กล่าวว่า มีแผนยกระดับโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน ให้เป็นโครงการที่สามารถเอื้อประโยชน์แก่นักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป เป็นทั้งจุดศูนย์กลางทางธุรกิจ จุดศูนย์กลางค้าปลีก
ทางด้าน ทริสเรทติ้ง ได้รายงาน แสดงความเห็นในการจัดอันดับเครดิต มีความเห็นว่าการเข้าร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (Mixed-Use) ของ บริษัท ดุสิตธานี จะยังไม่มีผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทในขณะนี้ โดยปัจจุบันบริษัทดุสิตธานีได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB+” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable”
“ในมุมมองของทริสเรทติ้ง เห็นว่าการต่อสัญญาเช่าระยะยาวบนที่ดินที่มีศักยภาพแห่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการต่อสัญญาเช่าเดิมที่จะหมดอายุลงในเดือนมีนาคม 2561
ส่วนการลงทุน Mixed-Use จะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว โดยจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท อีกทั้งยังจะช่วยสร้างโอกาสให้บริษัทขยายไปสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในส่วนของอาคารที่พักอาศัยและศูนย์การค้าด้วย นอกจากนี้ ผู้ร่วมทุนของบริษัท คือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา ก็มีความแข็งแกร่งทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและฐานะการเงินซึ่งจะสนับสนุนการพัฒนาและเพิ่มคุณค่าให้แก่โครงการ”
ทริสเรทติ้ง ระบุด้วยว่า ในระหว่างการพัฒนาโครงการ ฐานะการเงินของบริษัทจะอ่อนตัวลงเนื่องจากบริษัทจะสูญเสียรายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ
ทั้งนี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ สร้างรายได้ให้แก่บริษัทคิดเป็น 20% ของรายได้รวม และ 15% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทในปี 2559 ความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจากภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ
อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตราการก่อหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำก็ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการก่อหนี้เพิ่ม “ผู้บริหารของบริษัทได้ให้คำมั่นว่าบริษัทจะดำเนินนโยบายการเงินแบบระมัดระวังต่อไป ทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะไม่สูงเกินกว่า 50% โดยจะติดตามความคืบหน้าของโครงการและจะประเมินคุณภาพเครดิตขอบริษัทเมื่อข้อมูลและโครงสร้างทางการเงินของโครงการมีความชัดเจนมากขึ้น”
Image Credit: http://dusit-thani-bangkok.bangkokshotels.com