
นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนบุคคล เป็นกังวล ตลาดหุ้นไทยใน 3 เดือนข้างหน้า อาจไม่ดีจากความกังวล นโยบายการค้าของสหรัฐ และแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ขณะที่บรรดานักลงทุนกลุ่มสถาบัน-กองทุนมั่นอกมั่นใจรัฐบาลไทยดันการขยายตัวเศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตเป็นปัจจัยบวกมองสวนทางว่าหุ้นจะร้อนแรง
ดร. คเณศ วังส์ไพจิตร เลขาธิการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผย ผลสำรวจและจัดทำ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนมีนาคม 2560 สรุป ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงกลับไปอยู่ในภาวะทรงตัว หลังจากที่ดัชนีเพิ่มขึ้นสู่ระดับร้อนแรงในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นทั่วโลกยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
ผลสำรวจของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ยังระบุอีกว่า ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น จนเป็นปัจจัยหนุนสำหรับตลาดทุนไทย
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤษภาคม 2560) อยู่ที่ 110.24 ซึ่งเป็นระดับที่อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) ปรับตัวลดลง 8.58% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 120.59
ในขณะที่ กลุ่มนักลงทุนต่างๆ มีมุมมองต่ออนาคตหุ้นไทย และมีระดับดัชนีความเชื่อมั่นที่แตกต่างกัน โดยความเชื่อมมั่นของกลุ่มสถาบันในประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและอยู่ในระดับ”ร้อนแรง” ขณะที่ดัชนีนักลงทุนต่างชาติ และ รายบุคคล กลับเป็นทิศทางที่ ปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ในระดับ “ทรงตัว” เช่นเดียวกับเดือนที่ผ่านมา
สำหรับ หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดเหล็กเป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเจริญเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศ
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความผันผวนของกระแสเงินทุนเข้า-ออก
“ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงรอความชัดเจนจากการดำเนินการนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐที่อาจส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการนโยบายปฏิรูปภาษี การกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ตลอดปี 2560 นี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายทางเศรษฐกิจที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในกลุ่มประเทศในยุโรป และความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับ Brexit ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดทุนในภูมิภาคมีความผันผวนตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและเงินทุนไหลเข้าออกในภูมิภาค”
นายสุรัตน์ จิรจรัสพร หัวหน้าฝ่ายบริการราคาฯ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนมีนาคม 2560 “อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มทรงตัวที่ 1.5% ในขณะที่อัตราผลตอบแทน 5 ปี และ 10 ปี มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ” โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. ปลายเดือนมีนาคมนี้ อยู่ที่ระดับ 51ต่ำกว่าดัชนีครั้งที่แล้วเล็กน้อย (ระดับ 52) สะท้อนว่าตลาดมีความมั่นใจมากขึ้นต่อทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับค่อยเป็นค่อยไป และอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังทรงตัวในระดับต่ำภายใต้กรอบนโยบาย
ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทน 5 ปี และ 10 ปี ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 86 และ 89 ตามลำดับ ซึ่งสูงขึ้นจากครั้งที่แล้ว (ระดับ 83 และ 86 ตามลำดับ) สะท้อนว่าตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้ง 2 รุ่นอายุจะปรับตัวสูงขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญจากท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และอุปสงค์อุปทานในตลาดตราสารหนี้
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญภายนอกที่จะมีผลต่อตลาดทุนต่อไป คือการที่คณะกรรมการ FOMC มองว่า FED Fund Rate น่าจะอยู่ที่ 1.25%-1.50% ในปีนี้ หมายความว่า FED น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือ ส่วนดอกเบี้ย FED Fund Rate ในระยะยาวนั้น FOMC มองว่าจะอยู่ที่ 3.0% ในขณะที่ตัวเลข PMI ของสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีนยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น โดยเฉพาะจีนและยุโรป ขณะที่ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ยังทรงตัวในระดับเดิม และตัวเลขการส่งออกปรับขึ้นชัดเจนในสหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกในจีน ยุโรปและญี่ปุ่นยังไม่ได้ปรับดีขึ้นมากนัก
“ด้านการส่งออกของ ASEAN มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ 4Q15 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นในรอบที่ผ่านมา ทำให้ผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซียมีการส่งออกที่ฟื้นตัว เช่น ถ่านหิน น้ำมันดิบ ยางพารา และสินค้าอิเล็กโทรนิคส์
สำหรับตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึง 17 มีค 60 ดัชนีบวกจากสิ้นปีก่อน 1.17% ซึ่งสวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ASEAN5 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า เป็นบวก 2.5%-8.9% มองว่าเป็นผลจากตลาดหุ้นไทยปีที่แล้วค่อนข้าง Outperform เพื่อนบ้าน คือ +19.8% จึงเป็นธรรมดาที่ดัชนีตลาดหุ้นเพื่อนบ้านจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นกว่าในช่วงนี้ โดยตลาดหุ้นไทยนั้นต่างชาติขายออกไปแล้ว 13,400 ล้านบาท หลังจากที่ปีที่แล้ว Net buy เข้ามาประมาณ 78,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่เงินยังคงไหลออก
ทั้งนี้ ถ้ามองเรื่องการขยายตัวของอัตราผลกำไรของ บจ.ในตลาด ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 8.82% นำโดยกลุ่ม Media (ฐานต่ำจากปีที่แล้วที่มีการระงับเรื่องบันเทิง) Transportation, Tourism, และ Property ขณะที่คาดว่าอินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์จะมี EPS growth ปีนี้ที่สูงกว่า โดยอยู่ที่ 55% กับ 14.5% จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นเหล่านี้เดินหน้า Outperform ไทยในช่วงไตรมาสแรก
ด้านเศรษฐกิจในประเทศนั้น การลงทุนภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก โดยคาดว่าจะขยายตัวสูงถึง 6.7% จากหลายโครงการที่เริ่มประมูลไปแล้ว แม้จะน้อยกว่าปี 2559 แต่เป็นเพราะฐานที่สูงในปีก่อน เนื่องจากขยายตัวสูงมา 2 ปีต่อเนื่อง ส่วนมูลค่าการส่งออกกำลังเริ่มฟื้นตัวจากปี 2559 จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นและการค้าโลกเริ่มมีภาพเชิงบวก ขณะที่ผลของราคาทำให้มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นด้วยโดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันดิบ แต่การลงทุนภาคเอกชนน่าจะเริ่มเห็นการขยายตัวดีขึ้น แม้จะยังไม่เติบโตมากตามการลงทุนภาครัฐ
การใช้จ่ายภาคเอกชนปีนี้คงจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากปีที่แล้วมีฐานสูงจากยอดขายรถยนต์ ส่วนในช่วงต้นปีนี้ก็น่าจะชะลอลงบ้างเพราะปลายปีก่อนมีการโหมใช้จ่ายตามมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ทั้งนี้ คาดว่าในครึ่งหลังของปีนี้คงจะมีพระราชพิธีสำคัญ ซึ่งถ้าเป็นช่วงปลายปีก็มีผลต่อการเฉลิมฉลองในช่วงสิ้นปี เพราะประชาชนคงจะยังเศร้าโศกจนไม่อยากเฉลิมฉลอง”