top of page
image.png

MTLS โชว์ความแตกต่าง..สิ้นยุคดอกต่ำ-เงินท่วม ก่อหนี้ยาวมากกว่าสั้น


หมดยุคเสพสุข “ดอกเบี้ยต่ำ” เตี้ยเรี่ยดิน “เงินล้น” ท่วมตลาด สภาพคล่องสูงมาก MTLS ปรับตัวใหม่กู้ระยะยาวมากขึ้น กู้ระยะสั้นน้อยลง แม้ต้องแบกต้นทุนสูงขึ้น 1% ยึดหลักมั่นคงปลอดภัย สอดคล้องกับสถานะดอกเบี้ยขาขึ้น ย้ำนโยบายทำธุรกิจลิสซิ่ง/ปล่อยกู้สินเชื่อไฟแนนซ์ในประเทศกับเน้นรายย่อย คือความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากธุรกิจ GL คือพายุใหม่ในตลาดหุ้น-ตลาดเงิน ทำเอากระเทือนไปตามๆ กัน

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทยลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงกรณีที่ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตการประกอบการ มีการปล่อยกู้ของบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ให้กับต่างชาติ สร้างความตกใจแก่ธุรกิจลิสซิ่งและราคาหุ้นในตลาด ตกหนัก MTLS ได้รับผลกระทบ แต่ก็ยังถือว่าแข็งแรงอยู่เพราะนักลงทุนเข้าใจว่าไม่ได้เกี่ยวด้วย แม้มองว่า MTLS อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ GL ในตลาดหุ้นนี้ ก็เลยคิดว่าจะได้รับกระทบ แต่จริงๆ แล้วแตกต่างกันเยอะ เพราะ 1. MTLS ทำธุรกิจเฉพาะในประเทศไทย ไม่ได้ทำในต่างประเทศ สามารถตรวจสอบได้ตลอด 2. ผู้ที่บริษัทปล่อยเงินกู้ไปเป็นแบบ 1 คนต่อ 1 คน คือเป็นรายบุคคลเลย ทำให้บริษัทมีลูกค้าทั้งหมด 1.3 ล้านคน หากมีลูกค้ารถจักรยานยนต์รายละ 14,000 บาท รถยนต์รายละ 80,000 บาท ก็ถือว่าทำงานหนักมาก เพราะฉะนั้นเป็นแบบ 1 ต่อ 1 บริษัทไม่มีเงินก้อนไปให้คนอื่นเพื่อปล่อยต่อ และจำนวนบุคคลเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือไม่ บริษัทยังมี EY เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี สามารถสุ่มตรวจสอบแต่ละรายได้เลย นี่คือข้อแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ระหว่าง MTLS กับ GL

“ในอดีตที่ผ่านมาการทำธุรกิจของ MTLS ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากการปล่อยกู้ปกติมีหลักประกัน หนี้เสียก็เป็นปกติ คือ ประมาณ 1-1.3% พฤติกรรมลูกค้ามีก็จ่ายมาหรือถ้าไม่มีก็คุยกันได้ แต่ว่าก็พยายามประคับประคองไม่ให้ NPL สูงขึ้น ธุรกิจก็ยังทำเหมือนเดิม คือ มีสินเชื่อรถจักรยานยนต์ สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อที่ดิน สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สินเชื่อพีโลน อย่างอื่นไม่ทำเลย แล้วจะไปประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่ไป เพราะบริษัททำธุรกิจเก่งแต่ในประเทศไทย” นายชูชาติกล่าวและว่าการทำธุรกิจของ GL กับ MTLS มีความแตกต่างกัน “โดย GL เป็นพอร์ตสินเชื่อ High Purchase หรือรถจักรยานยนต์มือหนึ่งสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อรถกับดีลเลอร์ที่ขายรถจักรยานยนต์ แต่ของ MTLS จะเป็นลูกค้าที่เคยผ่อนรถหมดแล้ว พิสูจน์ตัวเองว่าผ่อนได้แล้วและเป็นเจ้าของรถที่มีทะเบียน อาจจะต้องการกู้เงินก้อนกับบริษัท เพราะ MTLS เป็นการให้สินเชื่อรถมือสอง ลูกค้าต้องการใช้เงินด่วน เช่น ลูกเปิดเทอม ลงทุนปุ๋ย ลงทุนยาฆ่าแมลง หรือ ทำไร่ทำนา แต่ไม่มีเงิน ก็นำเอารถจักรยานยนต์หรือรถยนต์มาค้ำไว้ เพราะพิสูจน์ว่าลูกค้าสามารถผ่อนได้ถือว่าต่างกันมาก”

นายชูชาติย้ำว่าการทำธุรกิจของ MTLS มุ่ง 1. ทำในเมืองไทย 2. ทำในรายย่อย ซึ่ง 2 ประเด็นนี้จะไม่กระทบ ดูจากปีที่แล้วมีปัญหาเรื่องภัยแล้ง ก่อนหน้านี้ 3-4 ปีมีเรื่องน้ำท่วม ไทยก็ผ่านมาหมดแล้วทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง แล้วเมืองไทยจะมีอะไรเพราะการเมืองก็นิ่งอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้กระทบอะไร ปีนี้เรื่องภัยแล้งก็ไม่น่ากังวลเพราะน้ำในเขื่อนยังอยู่ในระดับสูง เรื่องน้ำท่วมยังมาไม่ถึงจึงยังไม่ต้องพูดถึง แต่ใกล้ๆ นี้เรื่องภัยแล้งก็ไม่กลัวเพราะน้ำในเขื่อนยังมีอีกมาก เพราะฉะนั้นถ้าทำธุรกิจในเมืองไทย ทำรายย่อย ปัญหาไม่มีแน่นอน ปัญหามีเหมือนปีที่แล้ว คือ NPL ประมาณ 1-1.3% ยังไม่น่ากังวล MTLS ต่างจาก GL ตรงไม่ได้ทำธุรกิจเน้นในเมืองไทย 1.ไปทำธุรกิจที่กัมพูชา 2.ไปลงทุนที่สิงคโปร์ แล้วจากสิงคโปร์ไปปล่อยกู้ต่อที่ไซปรัส และ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้ตามไปดูถึงไม่ทราบ

“MTLS มีชื่อลิสซิ่งแต่เราทำสินเชื่อไฟแนนซ์ คือ เป็นเจ้าของรถแล้วมากู้เงิน อย่างในตลาดมีหนี้เสียประมาณ 4% ถ้าเป็นแบงก์พาณิชย์ประมาณ 2.5-3% แต่ของเราประมาณ 1-1.3% เทียบกับแบงก์พาณิชย์ถือว่าน้อยมาก เราคุมได้คุมอยู่ ทำมา 25 ปี ประเด็นสำคัญอยู่ที่ต้องมีบุคคลากรที่มีคุณภาพ เพราะคนทำงาน คือ พนักงาน ธุรกิจนี้ก็ต้องเน้นเข้าไปถึงตัวลูกค้า การบริการลูกค้า เน้นการพูดจาดีกับลูกค้า เพราะเวลาที่ลูกค้ามากู้กับเราเพราะเดือดร้อน แต่เวลาไม่ชำระเราก็ต้องไปหา ไปพูดกับลูกค้าดีๆ และช่วยลูกค้าแก้ปัญหา ตรงนี้ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญ ของเราทำไมถึงประสบความสำเร็จมี NPL ต่ำสุดในประเทศไทย เพราะมีบุคคลากรที่อยู่กันมามากกว่า 25 ปี ซึ่งมีประสบการณ์และช่วยกันทำงาน หัวใจคือเก่งและทำงานกันเป็นทีมเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

นายชูชาติเปิดเผยว่าปัจจุบัน MTLS คิดอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการ 2 หัว หัวแรกคิดตามกฎหมาย 15% ค่าบริการ 8% และไม่เกิน 23%ต่อปี ฟังดูเหมือนเยอะแต่แบงก์ชาติให้คิดดอกเบี้ย 28% นาโนไฟแนนซ์ 36% แต่ของ MTLSคิดดอกเบี้ย 23% ถือว่าถูกที่สุดในประเทศไทยแล้วสำหรับ Non-Bank เมื่อปีที่ผ่าน MTLS เติบโต 80% ผ่านการเปิดสาขาภาคใต้และภาคอีสาน และได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามา คือ สินเชื่อที่ดิน ในปีนี้บนพื้นฐาน 80% ขอเติบโต 50% โดยเน้นไปทางอีสานที่ MTLS ได้ไปทำธุรกิจเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และภาคใต้ที่ได้ไปเมื่อปีที่ผ่านมา และการทำธุรกิจสินเชื่อยังคงเป็นแบบเดิม คือ สินเชื่อที่ดิน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อรถจักรยานยนต์ และนาโนไฟแนนซ์ เพราะฉะนั้นจึงมั่นใจว่าในช่วงไตรมาส 1 ทำได้อย่างแน่นอน เพราะว่าเห็นตัวเลขของเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์มาแล้ว โดยยังคุม NPL ไม่เกิน 1.5% และยังคุมได้อีกด้วย

“ในส่วนของธุรกิจนาโนไฟแนนซ์เป็นสินเชื่อนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือรากหญ้า ช่วยเหลือผู้ที่กู้นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบ เป็นกลุ่มโดยเฉพาะพิโกเป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดที่ใช้เงินแบบไม่มีหลักประกัน จริงๆ แล้วคนละกลุ่มกับเราซึ่งกลุ่มของเรามีหลักประกัน ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือ ที่ดิน ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่รัฐบาลที่จะจัดการเจ้าหนี้นอกระบบได้หรือไม่ ถ้าจะจัดการก็ต้องเข้ามาสู่ระบบ แต่ไม่ใช่ลูกค้าของเราเพราะคนละกลุ่มกัน”

ส่วน Source of Fund นั้น นายชูชาติกล่าวว่าปีที่ผ่านมา MTLS ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ต้นทุนของเงินแค่ 2.7% เพราะมีเงินเยอะมากในเมืองไทยมีสภาพคล่องสูงมาก เพราะฉะนั้นสัดส่วนเงินกู้ระยะสั้น 70% ระยะยาว 30% ในปีที่ผ่านมา แต่ในปีนี้มีแนวโน้มดอกเบี้ยจะขึ้น MTLS จึงล็อกระยะสั้นกับระยะยาวเปลี่ยนใหม่ให้มาเป็นกู้ระยะยาวมากขึ้นและระยะสั้นน้อยลงให้เหลือ 50 ต่อ 50 ต้นทุนก็อาจจะสูงขึ้นบ้างประมาณ 1% โดยแหล่งเงินของ MTLS ใหญ่ คือ ออกหุ้นกู้ โดยออกด้วยตัวของเราเองเพราะสามารถที่จะออกหุ้นกู้ได้ เพราะมีเรทติ้ง Triple และรวมไปถึงการกู้จากแบงก์พาณิชย์ เพราะที่ผ่านมา MTLS ก็ได้ใช้ตั๋ว F/E 3-6 เดือนจากแบงก์ แต่ตอนนี้เปลี่ยนจาก F/E มาเป็นการกู้ระยะยาวแล้ว และแบงก์ก็เป็นแหล่งเงินสำคัญของ MTLS ด้วย

“อย่าง F/E ถูกทุบหม้อข้าวแตกไปแล้วก็จริง ก็ไม่ทำให้เราลำบากขึ้น เพราะถ้ามันลำบากก็จะเห็นตั้งแต่เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์หรือไม่มีตั๋วมาต่อในเดือนมีนาคม น่าจะเป็น Non-Rate มากกว่า Rating และงบการเงินเราออกมาดีมากเพราะกำไรของปีที่แล้ว 77% ปีนี้ก็เป็นไปตามแผน และผู้สอบบัญชี EY มาตรวจสอบเราและไม่มีหมายเหตุก็เป็นความโปร่งใสมาก โดยเฉพาะในอีก 2 ปีข้างหน้า มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 มาใช้ ซึ่งมาตรฐานบัญชีใหม่ตรงนี้ที่จะต้องมีการสำรองแบบที่ 2 คือ สำรองป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ตรงนี้เราก็ได้ทำไปเรียบร้อยแล้ว เราทำมาตรฐานบัญชีใหม่ไปแล้ว 80-90% ยิ่งไม่ต้อห่วงเพราะกำไรในอนาคตได้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น อันนี้คือความเข้มแข็งของการเงินเรา” นายชูชาติกล่าวและว่า MTLS เป็นเบอร์ 1 ของเมืองไทยเมื่อเทียบกับ Non-Bank ด้วยกัน ในแง่การปล่อยสินเชื่อเป็นเบอร์หนึ่ง ในเรื่องของการค้าก็เป็นเบอร์หนึ่ง ในแง่ของทุนสำรองมีรองรับไว้ถึง 222% ของหนี้เสีย NPL และ MTLS ยังมี NPL ต่ำสุดในประเทศไทย คือ 1% และในปีนี้คิดว่าจะไม่ทำงานให้เหนื่อยอาจปล่อยหลวมหน่อยก็ 1.5% แต่ก็ยังต่ำกว่าแบงก์พาณิชย์อีกเยอะ

นายชูชาติได้แนะนำจุดสังเกตให้กับนักลงทุนเวลาที่จะซื้อหุ้น วิธีที่ 1 คือ ดูงบการเงิน แต่มันลึกเกินไปซึ่งเหมาะสำหรับนักวิเคราะห์หรืองกองทุนที่มีการวิเคราะห์งบ เพราะงบมันซ่อนข้างในไว้อยู่ว่าทุนสำรองมีครบหรือไม่ ถ้าทุนสำรองไม่ครบอีก 2 ปีบังคับใช้ ซึ่งทุนสำรองมาจากการหักกำไรสุทธิ จะโดนแน่ๆ คือกำไรหายไป ทุนสำรองกว่า 200% ซึ่งเป็นมาตรฐานบัญชีใหม่ นับเป็นข้อมูลลึกเกินไปนักลงทุนอาจจะดูไม่เป็นก็ไม่ว่ากัน วิธีที่ 2 ดูอดีตที่ผ่านมา อย่างปีที่แล้วบอกจะโต 80% คือสินเชื่อใหม่ 80% ลูกหนี้การค้า 80% กำไร 80% อย่างของ MTLS ทำได้หมดเลย และวิธีที่ 3 ถ้าโตแบบนี้แล้ว NPL สูงหรือไม่ อย่างของ MTLS มี NPL 1% ต้องดูอดีตว่าทำได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นอนาคตคือปีนี้ ที่บอกว่าจะโต 50% NPL จะมีไม่เกิน 1.5% ก็น่าจะเชื่อถือได้ ถ้าอดีตทำได้อนาคตก็น่าจะทำได้เช่นกัน โดยเฉพาะให้ไปเยี่ยมที่สาขาเลยว่าพนักงานดีหรือไม่ ระเบียบวินัยดีหรือไม่ การกู้เงิน การคุยกับลูกค้าเป็นอย่างไรให้สังเกต

 
bottom of page