
จากรายงานข่าวล่าสุดที่ระบุว่า รัฐบาลประเทศอินโดนีเซียฟ้องร้อง ปตท. และ ปตท.สผ. (PTT, PTTEP) เป็นเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์ กรณีสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมจากเหตุน้ำมันรั่วไหลในทะเลติมอร์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เกิดจากบ่อขุดน้ำมัน Montara จุดเกิดเหตุดำเนินการโดย บริษัท PTTEP Australasia ได้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นในปี 2552 ส่งผลให้มีน้ำมันรั่วไหลออกมาหลายล้านลิตร บริเวณชายฝั่งทางเหนือของออสเตรเลียตะวันตก และ PTTEP ถูกปรับเป็นเงินกว่า 394,000 ดอลลาร์ ในปี 2554 โดยมีประเด็นเกี่ยวพันถึงการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงาน รวมถึงความผิดพลาดของการทำงานในบ่อน้ำมัน
รัฐบาลอินโดนีเซีย ระบุว่า การรั่วไหลของน้ำมันในครั้งนั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อน้ำทะเลและพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมถึงทำลายป่าชายเลนและแนวปะการังของจังหวัด Nusa Tenggara ของอินโดนีเซีย ดังนั้นจึงได้มีการยื่นคำร้องต่อศาล Jakarta ฟ้องร้อง ปตท., ปตท.สผ. และ PTTEP Australasia เพื่อเรียกค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ยังมีเกษตรกรผู้ปลูกสาหร่ายของอินโดนีเซียกว่า 15,000 ราย เรียกร้องเงินชดเชยกว่า 152 ล้านดอลลาร์
ทางอินโดนีเซียยังระบุด้วยว่า PTTEP Australasia ไม่แสดงเจตนาที่ดีในการแก้ไขปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นจากบ่อน้ำมัน Montara
การต้องชดใช้ค่าความเสียที่อินโดนีเซียเรียกร้องดังกล่าว ทำให้เกิดความไม่สบายใจกับผู้ลงทุน ที่ถือหุ้นทั้งในหุ้นแม่ลูกตระกูล ป. ทั้ง ปตท และ ปตท.สผ เนื่องจากเงินชดเชยค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนที่ไม่น้อย และกระทบกับสถานทางการเงินของบริษัทได้ และย่อมส่งผลต่อราคาหุ้นด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นกำลังทำทางขึ้นกันอยู่
เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ทางด้านของ ปตท.สผ. โดยนายสมพร ว่องวุฒิพรชัย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้ทำหนังสือชี้แจงไปที่ตลาดหลักทรัพย์ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 ระบุว่า ปตท.ได้รับรู้ข่าวที่ว่า ทางอินโดนีเซียยื่นฟ้องคดีต่อศาลในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อ เรียกร้องค่าเสียหายจาก PTTEP และ PTTEP AA จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของแหล่งมอนทารา ในทะเลติมอร์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2552 แล้ว แต่ทั้ง ปตท.สผ. และ PTTEP AA ยังไม่ได้รับเอกสารทางคดี เกี่ยวกับการฟ้องร้องอย่างเป็นทางการ
“ปตท.สผ.และ PTTEP AA ขอเรียนชี้ แจงว่านับจากเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในโครงการมอน ทารา PTTEP AA ได้ดำเนินการแก้ไขเหตุการณ์และได้ศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจนจนได้รับ ความเห็นชอบจากรัฐบาลออสเตรเลียในการดำเนินการโครงการต่อไปได้
และเมื่อรัฐบาลอินโดนีเซียเรียกร้องให้ ปตท.สผ. และ PTTEP AA ชดใช้ค่าเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ปตท.สผ. และ PTTEP AA ได้ประสานงานกับรัฐบาล อินโดนีเซียมาโดยตลอด เพื่อร่วมกันหาข้อยุติและพิสูจน์ความเสียหาย แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้
ปตท.สผ. และ PTTEP AA มีความเชื่อมั่นในผลการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งควบคุมโดย หน่วยงานรัฐบาลของประเทศออสเตรเลียว่าคราบน้ำมันที่เกิดจากเหตุการณ์มอนทาราไม่ได้แพร่เข้าสู่ชายฝั่งของประเทศอินโดนีเซียหรือออสเตรเลีย และไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาวในทะเลติมอร์
ปัจจุบันบริษัท PTTEP Netherlands Holding Coöperatie U.A. (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ.) มีโครงการที่ดำเนินงานอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย 1 โครงการ คือ โครงการ Natuna Sea A โดยถือสัดส่วนร้อยละ 11.5 ซึ่งมีปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติทั้งหมดประมาณ 224 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และปริมาณการขายน้ำมันดิบเฉลี่ย ณ ปัจจุบันประมาณ 1,200 บาร์เรลต่อวัน โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 1 ของปริมาณการ ขายทั้งหมดของบริษัท
ขณะเดียวกัน ทางด้าน บริษัทแม่ คือ ปตท.(PTT) ทำหนังสือชี้แจงยังตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันเดียวกันว่า ที่ว่าอินโดนีเซียฟ้องร้อง ปตท. กับบริษัทลูกว่า นับจากที่เกิดเหตุการณ์มอนทาราจนถึงปัจจุบัน ปตท.สผ. (ซึ่งเป็นบริษทัย่อยของ ปตท.) และ PTTEP AA (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ผู้รับสัมปทานและเป็นผู้ดำเนินการโครงการมอนทารา) ได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอินโดนีเซียมาโดยตลอด และพร้อมให้ความร่วมมือต่อไป โดยจะพิจารณาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะรับผิดชอบตามข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
“ที่ผ่านมา PTTEP AA ยังไม่เคยได้รับพยานหลักฐานที่ชัดเจนจากรัฐบาลอินโดนีเซียที่แสดงให้
เห็นได้กว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นจากเหตุการณ์มอนทาราในประเทศอินโดนีเซียแต่อย่างใด นอกจากนี้จากผลการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งควบคุมโดยหน่วยงานรัฐบาลของประเทศออสเตรเลียยืนยันได้ว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณที่ติดกับ น่านน้ำอินโดนีเซีย ซึ่งผลการศึกษาวิจัยมีเผยแพร่อยู่ใน website ของปตท.สผ. ขณะที่ PTTEP Australasia ยืนยันว่า ไม่มีน้ำมันรั่วไหลจากบ่อ Montara มายังชายฝั่งทะเลของอินโดนีเซีย และไม่มีความเสียหายระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมในทะเลติมอร์”
อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ได้สร้างความกดดันและทำให้ผู้ถือหุ้นที่ไม่มั่นใจขายหุ้นนี้ออกมาแล้ว ทั้งที่กำลังมีข่าวดีๆออกมา และดันให้ราคาหุ้นอยู่ในทิศทางขาขึ้น ทั้งจากกระแสฟันด์โฟลของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยได้อีก โดยกลุ่มพลังงานย่อมเป็นเป้าหมายทุกครั้งที่มาลงทุน ขณะเดียวกับที่ เพิ่งมีข่าวดีเรื่องผลการดำเนินงานของ ปตท.สผ. กลับมามีกําไรสุทธิ ในไตรมาส 1/2560 ที่ 1.23 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 118% และเป็นการพลิกจากขาดทุนสุทธิ 873 ล้านบาทใน ไตรมาส 4/2559 ด้วย ขณะที่โบรกเกอร์หลายแห่ง เช่น บล.เคจีไอ ได้ปรับเป้าหมายประมาณการณ์กําไรสุทธิปี 2560 ของ ปตท.สผ.ขึ้นอีก 33% เป็น 2.53 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเห็นที่สวนกระแสข่าวลบเช่นนี้ว่า เป็นช่วงที่เข้าไปซื้อสะสม เก็งกำไรได้ เช่น บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ที่ระบุว่า จากที่ว่ารัฐบาลอินโดนีเซียฟ้องร้อง กระบวนการพิจารณาคดีดังกล่าวน่าจะใช้ระยะเวลาพอสมควรจนกว่าจะได้ผลสรุปคำพิพากษาคดีออกมา บวกกับ PTTEP ยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเบื้องต้น ทำให้เชื่อว่าผลกระทบจากข่าวนี้น่าจะอยู่ในระดับจำกัด
“คำแนะนำคือ ซื้อเก็งกำไร และให้ราคาเป้าหมายที่ 106 บาท โดยข่าวการเรียกร้องค่าเสียหาย 6.9 หมื่นล้านบาทของรัฐบาลอินโดนีเซีย และความล่าช้าราว 1-2 เดือนในการเปิดประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณ ในเบื้องต้น คาดว่าส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อ PTTEP
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในระยะสั้นน่าจะถูกกดดันหนักจากราคาน้ามันดิบโลกที่ตกต่ำกว่า 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันสำรอง และปริมาณผลิต shale oil ในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมาก”