
ผู้นำโรงเรียนเอกชนโอดครวญหนักเจอ “ผีซ้ำ ด้ำพลอย” หากเจ้าของทิ้งอุดมการณ์ ไม่สงสารเด็กแล้วคงขายทิ้ง กอดเงินหลายสิบถึงหลายร้อยล้านบาทดีกว่า เผยเศรษฐกิจย้ำแย่ทรุดหนัก กลับถูกซ้ำเติมด้วยภาษีที่ดิน ต้องแบกรับภาระเพิ่ม 10 เท่าตัว จากการมีสนามเด็กเล่น-สนามฟุตบอล จูงใจเด็กได้มาเรียน วอนรัฐ-ท้องถิ่นอย่าเปิดโรงเรียนมากมาฆ่าโรงเรียนเอกชนที่ช่วยลดภาระการศึกษาให้กับทางการมายาวนาน ประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้มากโข กับช่วยผู้ปกครองไม่ต้องจ่ายเงินเยอะ
ดร.จีระพันธ์ พิมพ์พันธุ์ นายกสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย และ ประธานคณะกรรมการบริหารโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่า สมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยได้ก่อตั้งขึ้นมากว่า 40-50 ปีที่แล้ว เป็นการรวมตัวจากโรงเรียนเอกชนหลายประเภทตั้งแต่โรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม อาชีวะ นอกระบบ คาทอลิก คริสตจักร การศึกษานอกระบบ เช่น กวดวิชา สมาคมฯจีน พุทธศาสนา อิสลาม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหรืออุดมศึกษาต่างๆ ให้นายกฯของแต่ละสมาคมฯมารวมตัวเพื่อปรึกษาหารือ ถ้ามีเรื่องร้องเรียนภาครัฐก็ให้โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศติดต่อมาที่นี่เพื่อทำจดหมายยื่นเรื่องในฉบับเดียวกัน
ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาภาคเอกชนในไทยทั้งหมดถือเป็นสมาชิกสภาการศึกษาเอกชนฯพร้อมที่จะดูหมด สมาคมฯมีความเก่าแก่และประสานงานให้ คือ เมื่ออดีตหลาย 10 ปีมาแล้ว หลายสมาคมฯต่างยื่นเรื่องไปให้ปลัดกระทรวงหรือรัฐมนตรีทำให้มีจดหมายหลายฉบับ บางทีเรื่องเดียวกันมี 3 ฉบับ มีการแนะนำว่าขอให้มีสมาคมฯหนึ่งเป็นตัวประสานและดูแลรวมกัน จึงให้สมาคมสภาฯเป็นคนดูแลทั้งหมด
ปัจจุบันสมาคมสภาฯได้ยื่นเรื่องร้องเรียนถึงหน่วยงานภาครัฐ 2-3 เรื่อง ได้แก่
1. เรื่องภาษีที่ดิน สมัยก่อนโรงเรียนไม่เคยต้องเสียภาษีที่ดิน มีแต่เสียภาษีโรงเรือนเท่านั้น เพราะโรงเรียนจำเป็นต้องมีสถานที่ให้เด็กเล่น เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญที่ศรีราชา มีสนามฟุตบอล 2 สนาม ถ้าโรงเรียนไหนไม่มีบริเวณสนามเด็กเล่น ผู้ปกครองก็ไม่อยากให้บุตรหลานสมัครเข้ามาในโรงเรียนเพราะไม่มีพื้นที่จะวิ่งเล่น และการมาคิดภาษีที่ดินจากที่โรงเรียนเคยเสียภาษี 100,000 บาท ตอนนี้อาจต้องเสียภาษีเป็นล้านบาท เพราะฉะนั้นโรงเรียนเอกชนทั้งหมดได้รับกระทบหมด ทำให้มีการประชุมปรึกษาหารือกันว่าให้ทางสมาคมสภาฯทำหนังสือเป็นจดหมายฉบับเดียวเพื่อร้องเรียนไปถึงนายกรัฐมนตรี แต่ตอนนี้ทางราชการกำลังพิจารณาประมาณให้เสียภาษีที่ 9% เพราะปัจจุบันราคาที่ดินสูงขึ้น เพราะฉะนั้นการเรียกเก็บภาษีโรงเรียนให้เหมือนกับการเก็บภาษีโรงแรม ทางโรงเรียนเอกชนก็จะเสียภาษีไม่ไหว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าจะต้องเสียภาษีที่ดินที่เท่าไหร่
2. เรื่องเงินอุดหนุนโรงเรียนเอกชน สมัยก่อนครูโรงเรียนเอกชนได้เงินเดือนปริญญาตรีประมาณ 9,000-10,000 บาท แต่ตอนนี้มีการปรับขึ้นเป็น 15,000 บาท ส่งผลกระทบมาก เนื่องจากรัฐบาลได้กำหนดให้โรงเรียนเอกชนเก็บเงินอุดหนุนจากผู้ปกครองได้จำนวนที่เกินไม่ได้ นอกจากนี้ในแต่ละปีเงินเดือนครูยังต้องมีการปรับขึ้นเงินเดือนแต่เงินอุดหนุนยังเท่าเดิม โดยเงินอุดหนุนที่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐนี้มีมา 10 ปีแล้วแต่ก็มีเพิ่มมาบ้างเล็กน้อยในปีที่แล้วกว่า 200 บาท/ปี/คน และหากเฉลี่ยเงินออกมาแล้วถ้าเป็นโรงเรียนเล็กก็จะไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าโรงเรียนไหนที่มีเด็กจำนวนน้อยก็จะยิ่งได้เงินอุดหนุนน้อย แต่เงินเดือนครูต้องปรับเพิ่มเงินเดือนอย่างน้อยให้ปีละ 500 บาท ถ้ามีครู 20 คนก็ต้องใช้เงินหลายพันบาทในการปรับขึ้นเงินเดือนแต่ละปี จึงอยากให้ภาครัฐวิเคราะห์เงินอุดหนุนใหม่ ซึ่งได้สภาการศึกษาแห่งชาติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยช่วยวิเคราะห์ว่าครูควรที่จะได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนคนละเท่าไหร่ สมมุติว่าครู 100 คนควรจะปรับที่ 10% ก็มีการปรับขึ้นมาแบบนี้ แต่รัฐบาลต่อมาไม่ได้มีการอุดหนุนแบบนั้นแล้ว และได้มีการอุดหนุนให้เงินเดือนครูขึ้นเล็กน้อย ทำให้หลายปีมาแล้วที่ให้เงินเดือนครูเพิ่มเติมโดยเฉลี่ยแล้วได้หัวละกว่า 200 บาท/คน/ปีสำหรับชั้นประถม ส่วนชั้นมัธยมก็จะให้ 300 บาท/คน/ปี สรุปแล้ว 1 คนก็จะได้ 1 บาทซึ่งมีความไม่เพียงพอ
“ขณะที่เด็กที่เข้าเรียนโรงเรียนเอกชนเริ่มมีจำนวนลดลงพอสมควร ปัญหาของโรงเรียนเอกชนในตอนนี้อย่างโรงเรียนอาชีวะลดลง เพราะว่า 1. รัฐบาลได้เปิดโรงเรียนมัธยมปลายแต่พร้อมสอนอาชีวะด้วย พอจบจากมัธยมปลายก็สามารถได้ทั้งวุฒิม.6 และ วุฒิปวช.ด้วย ทำให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนแบบนี้แทน ส่งผลกระทบต่อโรงเรียนอาชีวะเอกชนทำให้จำนวนลดลง 2. โรงเรียนอนุบาลได้ลดลงเป็นจำนวนมาก เพราะปัจจุบันพ่อแม่มีลูกไม่เกิน 2 คนจากเมื่อก่อนที่มี 4-5 คน และบางคนอาจจะไม่มีลูกเพราะด้วยความที่ไม่อยากมี ทำให้จำนวนเด็กลดลง และ 3.จากภาวะเศรษฐกิจทำให้โรงเรียนจำเป็นที่จะต้องเก็บเงินจากผู้ปกครอง เพราะเงินที่อุดหนุนมีไม่เพียงพอ” ดร.จีระพันธ์กล่าว
“ต้องเข้าใจว่าเศรษฐกิจที่ไม่ดีอาจจะมีผู้ปกครองไม่อยากจะส่งลูกเข้าเรียนกับโรงเรียนเอกชน แต่ผู้ปกครองได้หันนำลูกไปสมัครเรียนตามโรงเรียนวัดแทน เนื่องจากทางรัฐบาลได้มีความอนุเคราะห์แก่โรงเรียนภาครัฐพอสมควร ทำให้โรงเรียนของภาครัฐทำดีขึ้น เช่น โรงเรียนทางท้องถิ่นอย่างอบจ.ที่มีโรงเรียนเด็กประถมทุกตำบล อย่างพระนครศรีอยุธยามีอบต. 203 ตำบล ก็จะมีโรงเรียนเด็กอนุบาล 203 แห่ง และทางอบจ.มีงบการศึกษามาก เช่น การศึกษาห้องสมุด 10 ล้านบาท ทำให้ทางสมาคมสภาฯไม่สามารถเรียกร้องเพิ่มได้ แต่ความเอาใจใส่ดูแลทางสมาคมสภาฯพยายามทำอยู่มาก”
ดร.จีระพันธ์เปิดเผยปัญหาของโรงเรียนเอกชนอีกเรื่อง คือ ครู ตอนนี้ทางรัฐบาลได้ประกาศว่าไม่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพได้ บางครั้งต้องการมาอยู่เพื่อไปเรียน ป.บัณฑิต พอเรียนจบก็ไปสอบเข้าครูภาครัฐ แต่ทางสมาคมสภาฯก็เห็นใจว่าได้ทั้งค่าบำเน็จบำนาญหรือได้ค่าครองชีพ แต่ตอนหลังประกาศไม่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพทำให้ครูหายหมด บางโรงเรียนน่าสงสารมีห้องเรียน 10 ห้อง มีครู 14 คน ไปสอบได้ 8 คน ทำให้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทางสมาคมสภาฯอยากจะขอร้องกับภาครัฐว่า ขอความกรุณาเรื่องการสอบครูและประกาศอยากให้มีขึ้นภายในเดือนเมษายนได้หรือไม่ แต่ก็ได้รับความกรุณาจากทางภาครัฐได้ช่วยประกาศแล้วแต่เป็นการประกาศในเดือนพฤษภาคมยังทำให้การหาครูยังยากอยู่ หากเป็นสมัยก่อนภาครัฐได้ประกาศในเดือนกรกฎาคมยิ่งทำให้หาตัวครูได้ยาก
“มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าให้สอบขึ้นบัญชีทิ้งไว้เพราะทางสมาคมสภาฯเห็นใจภาครัฐว่าต้องใช้งบประมาณสูง ครูก็จะได้พักรอเพื่อบรรจุไม่ใช่พอรู้ผลพรุ่งนี้ก็ไปทันที ทำให้โรงเรียนเอกชนไม่สามารถหาครูมาทดแทนทันได้ อีกทั้งงานของโรงเรียนเอกชนจะหนักกว่าภาครัฐ ซึ่งหากครูไม่ตรวจงานทางโรงเรียนก็ยอมให้ไม่ได้ ครูแต่งตัวไม่เรียบร้อยก็ยอมไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเป็นครูโรงเรียนเอกชน แต่ผลที่ได้รับคือเด็กอนุบาล 3 ต้องพยายามอ่านหนังสือได้ เด็กป.1 ต้องอ่านหนังสือออก” ดร.จีระพันธ์กล่าวและพูดถึงการทำโรงเรียนเอกชนในตอนนี้ค่อนข้างเหนื่อยและยากลำบาก แต่บางโรงเรียนทำด้วยอุดมการณ์ ขายที่ได้ 100 ล้านในหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯแต่ก็ไม่ขาย อย่างเช่นโรงเรียนวรรณวิทย์ ทั้งที่ถ้าจะขายที่ก็ได้รับหลายล้านบาท แต่ทำทั้งที่ขาดทุนเพราะความรักและอาชีพครู
“เด็กนักเรียนที่เรียนแล้วผู้ปกครองไม่มีเงินจ่ายมีเยอะมาก เพราะเด็กนักเรียนที่เข้ามามีทั้งค่าเล่าเรียน ค่ารถ ค่าอาหาร บางคนจ่ายค่าเล่าเรียนแต่ยังไม่ได้จ่ายค่าอาหาร บางคนเรียนตั้งแต่อนุบาล-ป.6แต่ค้างค่าเล่าเรียนเป็นแสนบาทตั้งแต่ป.4-ป.6 พอจบป.6ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนอื่นก็ต้องให้ใบวุฒิบัตร เพราะไม่อย่างนั้นทางโรงเรียนจะมีความผิด ซึ่งเป็นความผิดของผู้ปกครองไม่ใช่ความผิดของเด็กทางโรงเรียนก็ต้องยอม เพราะทั้งที่รู้ว่าพ่อแม่แย่แต่ก็อยากให้มาเรียนโรงเรียนเอกชน บางคนมานับเศษเงินให้โรงเรียนแต่ทางโรงเรียนก็รับเพราะรู้ว่าไม่มีเงิน และที่สำคัญโรงเรียนต่างจังหวัดชั้นม.1จะรับเข้าเรียนหลังจากสอบเข้าโรงเรียนรัฐที่มีชื่อเสียง ทางโรงเรียนเอกชนก็ต้องมาคั้นหาหัวกะทิและยิ่งต้องคั้นอย่างหนักเพราะมีเรื่อง O-NET ซึ่งถ้าหากคะแนน O-NET ต่ำตลอดเวลาเงินอุดหนุนก็อาจจะไม่ได้”
ดร.จีระพันธ์ได้กล่าวฝากถึงรัฐบาลให้นึกถึงความสำคัญ ของโรงเรียนเอกชนมีบทบาทช่วยลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐอย่างมาก เช่น อย่างชั้นมัธยมถ้ามาลองเฉลี่ยกันของโรงเรียนภาครัฐเฉลี่ยต้องจ่ายเพื่อเด็ก 1 คนประมาณ 30,000 บาท แต่ของโรงเรียนเอกชนประมาณกว่า 10,000 บาทที่ภาครัฐจ่ายให้การดูแลเด็กหรือความเข้มงวดกวดขันของโรงเรียนเอกชนมีมากกว่าเพราะถ้าไม่ทำให้ดีจะไม่มีผู้ปกครองพาลูกหลานมาเข้าเรียน แต่ภาครัฐเข้าใจว่าถ้าเด็กน้อยเท่าไหร่ครูยิ่งสบาย แต่ของเอกชนเด็กน้อยเท่าไหร่ยิ่งจะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนครู ทำให้มีความแตกต่างกันมาก “อยากให้ภาครัฐอย่าเปิดหรือขยายโรงเรียนมากนัก และขอให้ดูแลภาคเอกชนบ้างอย่างน้อย เช่น อาคารเรียนไม่ต้องสร้าง เงินเดือนก็ไม่ต้องจ่ายให้แต่เงินอุดหนุน โดยเงินอุดหนุนไม่ได้ให้ครูแต่ให้ช่วยผู้ปกครอง จากเดิมจ่าย 10,000 บาทก็อาจจะทำให้ผู้ปกครองเสียค่าเรียนเพียง 3,000 บาท”