
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือกรกฎาคม 2560 มีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่ดัชนีเดือนพฤษภาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในภาวะทรงตัว จากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้น ขณะที่นักลงทุนเฝ้าติดตามปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจส่งผลต่อความผันผวนของเงินทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ด้านตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเล็กน้อยตามภูมิภาค
ดร. คเณศ วังส์ไพจิตร เลขาธิการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือน พฤษภาคม 22560 ซึ่งเป็นแนวโน้มความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กรกฎาคม 2560) อยู่ที่ 100.89 อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) ปรับตัวเพิ่มขึ้น11.69% จากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ประจำเดือนเมษายน ที่ 90.33)
ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวขึ้นเล็กน้อยนี้ พบว่าจากกลุ่มบัญชีนักลงทุนต่างประเทศ ปรับตัวขึ้นจากระดับทรงตัวมาอยู่ที่ระดับร้อนแรง กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นจากระดับซบเซาอยู่ที่ระดับทรงตัว ขณะที่กลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวขึ้นเล็กน้อย และกลุ่มสถาบันในประเทศไม่เปลี่ยนแปลง โดยยังคงอยู่ในระดับทรงตัวเช่นเดียวกับเดือนที่ผ่านมา
สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK) ขณะที่หมวดเหล็ก (STEEL) เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
และปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
“โดยสรุปภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐโดยเฉพาะในตลาด Nasdaq มีการปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากผลประกอบที่ดีของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตามจากความล่าช้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐและความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี ทำให้เกิดความผันผวนของเงินทุนเข้าออก ราคาน้ำมันและทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่นมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำต่อไป ประกอบกับนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งในฝรั่งเศส ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในช่วงนี้มีการเคลื่อนไหวในวงจำกัด
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ จากการปรับคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ดีขึ้น ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในบริษัทขนาดใหญ่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดทุนไทย”
นายสุรัตน์ จิรจรัสพร หัวหน้าฝ่ายบริการราคาฯ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนพฤษภาคม 2560 “อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มทรงตัวที่ 1.5% ในขณะที่อัตราผลตอบแทน 5 ปี และ 10 ปี ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ” โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. วันที่ 24 พฤษภาคมนี้ อยู่ที่ระดับ 51 คงเดิมจากดัชนีครั้งที่แล้ว สะท้อนว่าตลาดยังคงเชื่อมั่นว่าทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปตามเป้าหมาย และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำภายใต้กรอบนโยบาย
ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี และ 10 ปี ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 85 และ 89 ตามลำดับ ซึ่งใกล้เคียงกับครั้งที่แล้ว (ระดับ 86 และ 89 ตามลำดับ) สะท้อนว่าตลาดยังคงมีมุมมองและความเชื่อมั่นเช่นเดิมต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้ง 2 รุ่นอายุที่จะปรับตัวสูงขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญจากท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อุปทานในตลาดตราสารหนี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่าในเดือนเมษายนผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,826 ล้านบาท เช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีผู้ลงทุนต่างประเทศมีสถานะซื้อสุทธิสะสมในตลาดหลักทรัพย์ไทย 8,197 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อตลาดทุนโลกที่ต้องติดตามต่อไป อาทิ ความกังวลต่อภาวะสงคราม ผลกระทบจากมาตรการลดภาษีสหรัฐฯ และการที่ IMF คงประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2560 ของสหรัฐฯ ไว้ที่ 2.3% ในขณะที่ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการเมืองในยูโรโซนเพิ่มขึ้นหลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส
ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai ณ สิ้นเดือนเมษายน อยู่ที่ 15.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.87% จากสิ้นปี 2559 ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ SET และ mai ในเดือนเมษายน รวมอยู่ที่ 40,132 ล้านบาท ลดลง 8.18% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม–เมษายน 2560 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวม SET และ mai อยู่ที่ 48,555 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน