
ธนาคารกรุงไทย (KTB)
อาจจะมองว่ามีการพูดถึงหุ้นธนาคารกรุงไทยอยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่ได้จะสนับสนุนเกินกว่าเหตุ การพูดถึงหุ้นธนาคารกรุงไทย หรือ KTB บ่อยๆ เนื่องจากยังพบว่าราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เหมาะกับการจะเข้าลงทุนนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าในที่นี้ เราเน้นเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นหลัก ไม่ใช่การเน้นกำไรจากการเก็งกำไรเป็นหลัก ดังนั้น หากธุรกิจยังมีพื้นฐานที่ดี ยังสามารถสร้างผลกำไรได้ดีและจ่ายเงินปันผลได้คุ้มค่า ก็ยังเหมาะที่จะเลือกลงทุนไปเรื่อยๆ ได้ อย่างปัจจุบันหลังจากทางธนาคารประกาศผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2560 ออกมาว่ามีกำไร 8,531.51 ล้านบาท เท่ากับกำไรเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.16% ทันที แสดงว่าธนาคารไม่ได้แย่อย่างที่มีการวิจารณ์กันในสื่อต่างๆ กลับเป็นการส่งสัญญาณที่ดีกับธุรกิจและยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าหุ้น KTB ยังสามารถเลือกลงทุนได้ดีต่อไป เพราะจากผลกำไรที่ปรากฏในไตรมาสแรกยังออกมาดีกว่าปีก่อน แสดงว่าตลอดปีก็จะมีกำไรมากกว่าปีก่อน ในที่นี้แค่นำเอาผลกำไรของปี 2559 มาประเมินราคาหุ้น ยังได้คำตอบว่าราคาหุ้นยังต่ำเกินจริงอยู่มาก เพราะปี 2559 KTB มีกำไรต่อหุ้นที่ 2.31 บาท เพียงใช้พีอีแค่ 10 เท่าประเมินราคา จะได้ราคาที่ 23.10 บาททันที แต่ราคาซื้อขายในตลาดยังอยู่แค่ 19 บาท จึงเท่ากับมี upside ได้อีกอย่างน้อย 21.58% โดยยังไม่ได้คิดรวมเงินปันผลนี้ได้อีกถึง 4.53% รวมอยู่ด้วย ดูแค่เงินปันผลอย่างเดียวก็เกินความคุ้มค่ากับการลงทุนได้แล้ว
วนชัยกรุ๊ป (VNG)
ในกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างหลายปีก่อนธุรกิจอาจเติบโตได้ไม่มาก เพราะมีแรงกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีไม่มาก และจากหลายโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ล่าช้า ทำให้เม็ดเงินการลงทุนยังไม่แพร่กระจายออกสู่ระบบมากพอ ธุรกิจต่างๆ จึงมีการเติบโตที่ต่ำลงไปด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะมีการยกเลิกการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่กล่าวมา เป็นแค่เกิดความล่าช้าของการลงทุนไปบ้างเท่านั้น ในเมื่อยังจะมีการลงทุนเกิดขึ้น แสดงว่าในระยะต่อไปผลก็จะเกิดเป็นรูปธรรม งานก็จะเพิ่ม การใช้วัสดุก็จะมีมากขึ้น จึงไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลจนเกินเหตุ เมื่อมาดูที่ VNG จะพบว่า เมื่อปี 2556 VNG ยังอยู่ในสภาพขาดทุนในการประกอบการ โดยขาดทุนอยู่ 190.82 ล้านบาท แต่หลังจากมีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปแล้ว ก็พบว่าปีถัดปีถัดมา 2557 ก็พลิกฟื้นกลับมาทำกำไรได้ 752.16 ล้านบาท นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มาปี 2558 กำไรเพิ่มเกือบเท่าตัวมาอยู่ระดับ 1,426.41 ล้านบาท และยังมีกำไรเพิ่มต่อเนื่องมาในปี 2559 ที่ 1,591.42 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเพิ่มมาเป็น 1.02 บาท มาปี 2560 นี้ ไตรมาสแรกทำกำไรได้ 264.78 ล้านบาท อาจยังดูไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อมาพิจารณาควบคู่กับสภาพการณ์ในปัจจุบันที่มองว่าจะเอื้อกับการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ทำให้มองว่าผลประกอบการอีก 9 เดือนของ VNG คงจะค่อยๆ ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จึงประเมินว่าผลกำไรตลอดปี น่าจะยังใกล้เคียงปีก่อนได้ จึงนำเอาผลกำไรต่อหุ้นของปีก่อนมาประเมินราคาได้ เมื่อใช้ค่าพีอีที่ 14 เท่ามาประเมิน (พีอีกลุ่มวัสดุฯ = 16 เท่า) จะได้ราคาที่ 14.28 บาท แต่ราคาในตลาดยังอยู่ที่ 12.80 บาท จึงมี upside ได้อีก 11.56% และยังคงได้เงินปันผลอีก 3.9% ด้วย ก็ลุ้นได้ดีเช่นกัน
สหกลอิควิปเมนท์ (SQ)
คงจะดูเป็นหุ้นแปลกตาในตลาด ความจริงก็เป็นหุ้นในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนั่นเอง ดังนั้น หากมองในเรื่องธุรกิจก็บอกได้เลยว่ามีอนาคตสดใสมาก เพราะจากการที่ภาครัฐเน้นการลงทุนในขณะนี้ และหลายๆ โครงการที่ล่าช้าออกไปก็ได้มีการเร่งรัดให้มีการดำเนินการให้เร็วขึ้น มีผลโดยตรงกับการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนให้มีการตื่นตัวตามไปด้วย เท่ากับจะมีงานเพิ่มมากในธุรกิจนี้ ย่อมเกิดผลดีกับธุรกิจนี้ทุกระดับ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ดังนั้น เมื่อมาดูที่ SQ ซึ่งยังมีข้อมูลในการประกอบการอยู่น้อยปี อาจยังมองได้ไม่ชัดเจนมากก็ตาม แต่เท่าที่มีข้อมูลปรากฏก็พอจะประเมินได้ว่า น่าลงทุนหรือไม่ได้ เพราะดูจากผลกำไรในปี 2559 ที่ทำได้เพียง 322.71 ล้านบาท มาในปัจจุบันปี 2560 พบว่าแค่ไตรมาสแรกก็ทำกำไรได้ถึง 225.86 ล้านบาทแล้ว เท่ากับมีกำไรมากถึง 70% ของปีก่อนทั้งปีแล้ว จึงได้คำตอบแน่ชัดว่าปี 2560 นี้ SQ จะมีกำไรเพิ่มมากแน่นอน คาดว่าน่าจะทำกำไรตลอดปีได้ถึง 900 ล้านบาท ก็จะมีกำไรต่อหุ้นที่ 0.80 บาททันที ดังนั้น เมื่อมาประเมินราคาด้วยค่าพีอีแค่ 10 เท่า จะได้ราคาที่ 8 บาท แต่พบว่าราคาในตลาดซื้อขายกันแค่ 6 บาท จึงมี upside ได้อีกมากถึง 33.33% หากมีการจ่ายเงินปันผลตามนโยบายที่ 40% ของกำไรก็จะได้ผลตอบแทนเพิ่มอีก 5.33% พูดได้ว่าน่าลงทุนมาก