top of page
image.png

ตลท.เหนื่อย-มาร์เก็ตแคปหด...เจ้าสัวเจริญ เหนือเมฆ บริหารจัดการหน้าตัก


เจ้าสัวเจริญคิดอะไรอยู่? ... คงไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่าตัวเจ้าสัวเจริญเอง ที่มีเพิ่งบริหารจัดการทรัพย์สิน ที่มีอยู่เต็มหน้าตัก ล่าสุดที่มีการจัดการทรัพย์สินล็อตใหญ่ด้วยการรับซื้อคืนกองทุน 3 กอง ตามด้วยการถอนหุ้น BIGC ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากที่ซื้อกิจการนี้ในนามของ BJC มาได้ครบปีพอดี...แต่ที่รู้ได้แน่ๆคือ เจ้าสัวเจริญ ไม่มีทางยอมขาดทุนจากการตัดสินใจขยับโยกย้ายทรัพย์สินของเขา โดยตั้งราคารับซื้อคืน 3 กองทุนและหุ้น BIGC ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด เมย์แบงก์ กิมเอ็งแนะซื้อ BJC มีแต่ได้ ให้ราคาเป้าหมาย 59 บาท...ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เหนื่อยจากผลของมาร์เก็ตแคปที่หดหายนับแสนล้าน

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้จะเห็นความเคลื่อนไหว ซื้อขาย นั่นนี่ของเจ้าสัวเจริญ ที่ไม่เพียงส่งผลต่อทรัพย์สินบนหน้าตักจำนวนมหาศาลของเจ้าสัวเจริญเท่านั้น แต่มีผลต่อเงินและหุ้นในกระเป๋าของนักลงทุนที่เข้าไปเกี่ยวข้องลงทุนในกิจการต่างๆ ของเจ้าสัวเจริญด้วย

ทั้งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เจ้าสัวเจริญได้สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งวงการด้วยการให้ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ BJC เข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งทางตรงและทางอ้อมในบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ หรือBIGC จำนวนรวมทั้งสิ้น 483,077,600 หุ้น คิดเป็น 58.56% ในราคาหุ้นละ 252.88 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 122,160.66 ล้านบาท และทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญส่วนที่เหลือทั้งหมดใน BIGC เป็นจำนวนทั้งสิ้น 341,922,400 หุ้น คิดเป็น 41.44%

มาเดือนเมษายน-พฤษภคม 2560 เจ้าสัวเจริญก็จัดการสินทรัพย์ของเขาอีกระลอก นอกจากการประกาศจัดทำโครงการขนาดมหึมา ที่ถนนพระราม 4 ในชื่อโครงการ One Bangkok ด้วยมูลค่าโครงการถึง 1,2 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้น่าจับตามากว่าเจ้าสัวเจริญจะเอาเงินจากไหนอย่างไรมาใช้ในโครงการนี้ เพราะที่ผ่านมาก็มีทั้งกู้ การระดมทุนออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์หลายต่อหลายกอง

กระทั่งช่วงเดือนเมษายน นี้เองที่ ทางกลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์ ของเจ้าสัวเจริญ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการจัดทำคำเสนอซื้อทรัพย์สินของ 3 กองทุนอสังหาฯ ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยโฮเทลอินเวสเม้นต์ (THIF) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ (TCIF) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยรีเทล อินเวสเม้นต์ (TRIF) ซึ่งมีการประชุมผู้ถือหน่วยในวันที่ 17-18 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติให้ทำได้ และเตรียมเพิกถอนจาก 3 กองทุนอสังหาฯออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

ในช่วงเวลาต่อเนื่องกัน ก็มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมคือ การยื่นเรื่องเตรียมเพิกถอนหุ้น BIGC ที่ซื้อมาเมื่อปีก่อน

ความเคลื่อนไหวต่างๆนี้ ทำให้หลายคนไม่เข้าใจว่าเจ้าสัวเจริญ กำลังคิดทำอะไรอยู่กับสินทรัพย์บนหน้าตกของเขา ซึ่งไม่มีใครรู้เรื่องได้ดีไปกว่าตัวเจ้าสัวเจริญเอง แต่ที่แน่ๆคือ เจ้าสัวเจริญ ไม่ยอมขาดทุนแน่ๆ ทั้งนี้จะเห็นได้จากการตั้งราคารับซื้อคืน ทั้ง 3 กองทุนและ หุ้น BIGC ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด

มีการประเมินว่า การเพิกถอน 3 กองทุนรวมอสังหาฯ ออกจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการสร้างความคล่องตัวให้กับการบริหารสินทรัพย์....ข้อนี้มีความสำคัญกับผู้ถือหน่วยลงทุนด้วยเพราะราคาที่รับซื้อถูกกว่าราคาตลาดมากๆ แม้แต่ บลจ.กรุงไทยยังออกมาช่วยเตือนว่าไม่ให้ขายคืนในราคาที่ถูกเกินไป

เช่นเดียวกับที่ระบุถึง การเพิกถอนหุ้น BIGC ที่ให้ BJC รับซื้อตามหลังการรับซื้อของ 3 กองมาติดๆ มองกันว่าเจ้าสัวเจริญ น่าจะมีเหตุผลทางการเงินมากกว่าเป็นแค่เรื่องการจัดสรรมรดก

ทั้งนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันที กับผู้ถือหุ้น คือราคาหุ้น BIGC ที่สะท้อนภาพการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยราคาขยับขึ้นจน มาถึง 233 บาทแต่ในวันที่ 12 พ.ค.ที่มีการประกาศรับหุ้นคืน 17 ล้านหุ้นหรือ 2% ในราคา 225 บาท ก็ทำให้ราคาในกระดานหุ้นปรับลดทันที จาก 233 บาทลงมาที่ 219 บาท หรือลดลง 12% สร้างความเสียหายพอสมควร

ขณะที่ BJC ดูจะมีค่ามีราคาขึ้นมาพอสมควร โดยมีการวิเคราะห์จาก บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ว่ามีผลประกอบการที่ดี เนื่องจากการรวมงบ BIGC เต็มไตรมาส โดยกำไรของ BIGC เพิ่มขึ้น 39% และตลอดปี 2560 จะดีขึ้นเป็นลำดับ กำไรจะโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยแนะนำให้ซื้อ BJC โดยตั้งราคาเป้าหมายที่ 59บาท

ไม่เพียงนักลงทุนที่จะได้รับผลจากการปรับหน้าตักของเจ้าสัวเจริญเท่านั้น แม้แต่ตลาดหลักทรัพย์เองก็รับผลครั้งนี้ไม่น้อย โดยการถอน กองทุนทั้ง3 กอง และหุ้น BIGC ทำให้ มูลค่าราคาตลาดรวมหรือ มาร์เก็ตแคป พูดง่ายๆคือความมั่งคั่งในตลาด หายไปถึงราว 3 แสนล้านบาท เป็นสวนของ BIGC ประมาณกว่า 190,000 ล้านบาท ซึ่งกว่าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะหาหุ้นใหม่ๆ มาทดแทนต้องใช้เวลานานพอสมควร

 
bottom of page