ฤทธิ์มีดสั้น ! แม้ว่าทิศทางของกระแสเงินทุนในตลาดการเงินโลกยังคงมีตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือ Emerging Market (EM) เป็นเป้าหมาย สะท้อนออกมาจากการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (29 มิ.ย.-5 ก.ค.2560) ยังมีกระแสเงินไหลเข้า ตลาดหุ้นกลุ่ม EM เป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันอีกราว 435 ล้านดอลลาร์ แต่ดูเหมือนว่าลำดับความสำคัญอันดับที่ 1 ของกระแสเงินทุนในตลาดการเงินโลก จะเทไปที่ตลาดหุ้นกลุ่มพัฒนาแล้ว หรือ Developed Market (DM) มากกว่า โดยมีกระแสเงินทุนไหลเข้าถึง 2.5 พันล้านดออลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าถ้าดูจากระดับความน่าสนใจจะพบว่าตลาดหุ้นในกลุ่ม DM ดูดีน้อยกว่า EM ด้วยซ้ำ สะท้อนออกมาจากระดับ Earnings Yield ของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่นที่ล่าสุดอยู่ในระดับ 5.6%, 6.6% และ 7.7% ตามลำดับ ขณะที่ Earnings Yield ของ MSCI EM อยู่ที่ระดับ 8.2%
อย่างไรก็ดีจากทิศทางของกระแสเงินที่ยังคงให้น้ำหนักกับตลาดหุ้น DM มากกว่า สะท้อนให้เห็นว่าระดับของ Earnings Yield ที่สูงกว่าของตลาดหุ้น EM อาจจะไม่เพียงพอที่จะทดแทนความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการลดขนาดงบดุล หรือ Balance Sheet ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดในช่วงปลายปี 2560 นี้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่กระแสเงินทุนยังไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ ทั้งๆ ที่ความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นสหรัฐของนักลงทุนลดต่ำลงมา สะท้อนออกมาจากการที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (29 มิ.ย.-7 ก.ค.2560) ซึ่งพบว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐยังเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ลดลง 0.1% สู่ระดับ 29.6% กลับมาต่ำกว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐเป็นขาลงแล้ว หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้น 3.0% สู่ระดับ 29.9% แล้ว ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่มองตลาดเป็นกลางๆ หรือ Neutral ยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุดที่ 40.6% สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของนักลงทุนในสหรัฐที่ไม่มั่นใจในทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐในระยะสั้นนี้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ถ้าสถานการณ์ยังคงเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไป การพื้นตัวของตลาดหุ้นไทยที่มีพื้นฐานเปราะบางที่สุด และยังคงไม่มีปัจจัยกระตุ้นใหม่จะมีความเปราะบางมากๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้นสำหรับแนวโน้มในระยะสั้น “นายหมูบิน” ยังคงมองว่า SET ยังคงมีโอกาสที่จะแกว่งตัวในกรอบ 1,565-1,610 จุดต่อไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะสั้นระยะ 1-2 สัปดาห์นี้คงทำได้แค่ “การเก็งกำไรในกรอบแนวรับแนวต้าน” หรือ “ฤทธิ์มีดสั้น” ต่อไปก่อน เพราะตราบใดก็ตามที่ SET ยังคงไม่สามารถขึ้นไปปิดเหนือ 1,610 จุดได้ “นายหมูบิน” อยากให้ตั้งสมมติฐานว่า SET มีโอกาสปรับตัวลงที่ 1,565 จุด (+/-) อีกครั้งไว้ก่อน สำหรับการลงทุนในระยะกลางในรายเดือน หรือ Monthly ยังคง “ถือหุ้นต่อ” หรือ “สะสมเพิ่มได้” ตามกลยุทธ์ที่เราวางกันไว้ในช่วงที่ผ่านมาได้ ตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงมาปิดต่ำกว่า 1,565 จุดอีกครั้ง
ปัจจัยเฉพาะตัวไม่โดดเด่นพอจะหวังได้ ! นอกจากความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยในเชิงฤดูกาล หรือ Seasonality ที่สถิติในช่วง 10 ปีพบว่าเดือน ส.ค. เป็นเดือนที่ SET มักปรับตัวลงเฉลี่ย 0.6% ด้วยระดับ Winner Percentage ราว 60% ขณะที่ในส่วนของ Foreign Fund Flows นั้นพบว่านักลงทุนต่างชาติมีสถิติขายสุทธิในเดือน ส.ค. เฉลี่ยราว 1.2 หมื่นล้านบาท บนระดับ Net-Buying Percentage เพียง 40% เท่านั้นแล้ว
ในด้านของปัจจัยพื้นฐานดูเหมือนว่าจะเป็นจุดอ่อนที่สำคัญมากๆ ของตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในด้านของมุมมองต่อความสามารถในการทำกำไร โดยพบว่า Consensus ประเมินการขยายตัวของกำไรสุทธิของตลาดหุ้นไทยในปี 2560 และ 2561 ไว้ที่ 7.1% และ 9.3% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น MSCI Asia ex Japan ที่ 19.6% และ 10.5% ชัดเจน และดูเหมือนว่ามุมมองของ Consensus ในประเด็นดังกล่าวยังคงไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น สะท้อนออกมาจากการที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา Consensus ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 ของตลาดหุ้นไทยขึ้นเพียง 0.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น MSCI Asia ex Japan ที่ 1.0% และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ของตลาดหุ้นไทยลง 0.4% สวนทางกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น MSCI Asia ex Japan ที่ถูกปรับขึ้น 1.3%
ขณะที่เมื่อพิจารณาด้านระดับราคาพบว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับ Forward P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว หรือมี Premium มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มตลาดหุ้น Top10 ของเอเชียที่ 26.9% เทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น MSCI Asia ex Japan ที่ 9.1% และเป็นรองเพียงแค่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ระดับ 42.7% เท่านั้น ดังนั้นเมื่อประกอบกับสัญญาณในเชิง Tactical ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติที่สะท้อนออกมาผ่านดัชนี Accumulated Foreign Fund Flow ที่ยังคงเป็นลบ หรือ Pessimism ทำให้โอกาสที่การเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาเป็นปัจจัยสนับสนุนการดีดตัวขึ้นเหนือ 1,610 จุดของ SET จึงเป็นเรื่องที่ยากจะคาดหวังในระยะสั้นๆ
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงปิดเหนือกว่า 1,565 (+/-5) จุดได้ แนะนำ “อ่อนตัวซื้อเก็งกำไร” ในหุ้น PTTGC, KBANK, SCB, STEC, CK, SCC, LH, SIRI, INTUCH และ ADVANC ขณะที่กรณีตรงข้ามที่ SET กลับมาปิดต่ำกว่า 1,565 (+/-5) จุดอีกครั้ง แนะนำ กลับมา “ถือเงินสด” หรือ “Wait and See” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ทาง FM 101 ทุกวันอาทิตย์ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” เวลา 10.00-12.00 น.เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: Wealth Hunters Club