
บลจ.แอสเซทพลัส ประเมินสถานการณ์หุ้นไทยครึ่งปีหลังมี Upside ค่อนข้างจำกัด สามารถปรับหุ้นได้ในกรอบแคบ แต่หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือ Small-Mid Cap ยังมีโอกาสเติบโตก้าวกระโดด
นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส (บลจ. แอสเซท พลัส) เปิดเผยว่า บลจ. แอสเซท พลัส มองบรรยากาศตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังปรับตัวในกรอบแคบและยังมี Upside ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการบริโภคในประเทศเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ โดยมองเป้าหมาย SET Index ในกรอบ 1,600-1,650 จุด
ทั้งนี้ เชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะเห็นเม็ดเงินในการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเพิ่มขึ้น เช่นกันกับตัวเลขภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ขณะที่หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง (Small-Mid Cap) ยังมีโอกาสเติบโตสูง ทั้งยังเป็นจังหวะสำหรับการเข้าลงทุนในระยะยาวเนื่องจากมูลค่าหุ้น (valuation) ในปัจจุบันถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มจะเติบโตที่ 9% ในปีนี้ และ 11% ในปี 2561
บลจ. แอสเซท พลัส ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งให้โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากดัชนี FTSE Thai Small Mid Cap TRI สามารถให้ผลตอบแทนถึง 12.78% ต่อปี สูงกว่าดัชนี SET50 TRI ที่ให้ผลตอบแทน 6.71% ต่อปี
ในจังหวะนี้ บลจ.แอสเซทพลัสจึงคิดกองทุนเปิด แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ (ASP-SME) เสนอขายในวันที่ 17 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2560 เหมาะเป็นทางเลือกสำหรับ ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนระยะยาวในหุ้น โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางในตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ระดับความเสี่ยง 6 มีจุดเด่นที่กระบวนการวิเคราะห์และคัดสรรหุ้นแบบเจาะลึกโดยมุ่งเน้นหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจสูง มีโมเดลในการบริหารธุรกิจที่ชัดเจน ฐานลูกค้าขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงมีกลยุทธ์การสร้างแบรนด์แข็งแกร่งและ ให้ความสำคัญกับ Customer Engagement
ทั้งนี้ บลจ. แอสเซท พลัส มองว่าหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางของกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจดิจิทัล ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวจีนและการขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ตลอดจนธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากความพยายามลดหนี้นอกระบบของภาครัฐยังมีความน่าสนใจและมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีได้
“นอกจากกองทุน ASP-SME แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ. แอสเซท พลัสจะเสนอขายกองทุนเปิด แอสเซทพลัส เฟล็กซิเบิ้ล พลัส (ASP-FLEXPLUS) เพื่อเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนเพิ่มเติม โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนผสม ระดับความเสี่ยง 5 ออกแบบมาเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจได้ทั้งในตลาดหุ้นขาขึ้นและตลาดขาลง เนื่องจากเน้นกลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรุกและมีกรอบการลงทุนที่ยืดหยุ่น 0-100% จึงสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ทันต่อสถานการณ์ สามารถลงทุนได้ทั้งในตลาดหุ้นไทย ตราสารหนี้ในประเทศ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน REITs ทั้งยังสามารถกระจายการลงทุนไปในหุ้นภูมิภาคอาเซียนซึ่งเราเล็งเห็นว่าเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้เนื่องจากเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ ASEAN ยังเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งล่าสุด IMF คาดว่า GDP ของประเทศกลุ่ม ASEAN ในปี 2561 จะขยายตัวถึง 5.1% สูงกว่าสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 2.5%“
บลจ. แอสเซท พลัส มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามและฟิลิปปินส์ยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเนื่องจากมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการลงทุนในต่างประเทศกองทุนจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน
ส่วนมุมมองการลงทุนในสินทรัพย์อื่น นายรัชต์กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ. แอสเซท พลัส ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นภูมิภาคยุโรปและตลาดหุ้นเอเชีย โดยหุ้นยุโรปยังมีระดับราคาที่น่าสนใจและต่ำกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วถึง 9% และต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ 15% ทั้งยังมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจยุโรป คาดการณ์การเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยุโรปประมาณ 15%
สำหรับตลาดเอเชียมองว่าตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลียังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจและจะได้ประโยชน์จาก Tech Super Cycle ด้านตลาดจีนเชื่อว่าจะได้อานิสงส์จากพัฒนาการสำคัญที่ก้าวสู่สากลทั้งการที่หุ้นจีนได้รับการผนวกเข้าสู่ MSCI Emerging Market Index และโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้จาก China-Hong Kong Bond Connect ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยในประเทศคาดว่าจะยังคงทรงตัวต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป
ทั้งนี้ แนะนำผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกกระจายสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) โดยอาจเลือกลงทุนในหุ้นไทย 40% หุ้นต่างประเทศ 20% ตราสารหนี้และกองทุนผสม 40%