top of page
image.png

‘หุ้นไทย’ ยังมีเสน่ห์ ลุ้นพีคท้ายปี 60...มองปีหน้า สู้ปีนี้ไม่ได้


วิน อุดมรัชตวนิชย์ แห่ง KTBST ให้กำลังใจคนเล่นหุ้น ชี้ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนเศษส่งท้ายปี 2560 จะยังคงมีปัจจัยบวกมากกว่าลบ โดยรวมหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อยู่ หรือไม่ขึ้นกับ 2 ปัจจัยคือ การทำให้ โครงการ EEC เป็นรูปธรรมและ ความชัดเจนทางการเมือง ชี้ปีหน้า 2561 นักลงทุนต้องทำการบ้านให้ดี ทั้งกรณีเศรษฐกิจในและต่างประเทศซึ่งอาจมีข่าวบวกเป็นแรงส่งหุ้นไม่ได้มากเท่าปี 2560 ก็เป็นได้

ปี 2560 นับเป็นอีกปีหนึ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่อกหัก พอร์ตช้ำ เพราะในช่วง 9 เดือนแรกของปี ตลาดหุ้นไทยเตาะแตะ และดูจะเป็นปีที่ไม่ดีกับหุ้นมากๆ ดัชนีหุ้นอยู่ในระดับ 1,570-1,580 แล้วหลังจากนั้น ก็ทำเซอร์ไพรซ์ปรับตัวขึ้นอย่างมากมาย ชนิดที่ทำให้นักลงทุนหุ้นไทยปรับตัวกันไม่ทัน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดหุ้นที่ดัชนีปรับขึ้นกว่า 200 จุด แต่กลับไม่สามารถชนะตลาดได้

ขณะเดียวกันการปรับตัวขึ้นของหุ้นในช่วง กันยายน ตุลาคม และพักฐานลงมาในช่วงเดือนพฤศจิกายน ยิ่งทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจมากขึ้น เมื่อหุ้นพยายามดีดกลับขึ้นทดสอบระดับ 1,720 จุดหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และตัดสินใจจัดการพอร์ตหุ้นไม่ได้สำหรับช่วงเดือนสุดท้ายทิ้งทวนปี 2560 จะเป็นอย่างไร

ในเรื่องนี้ นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ซึ่งเคยบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ กล่าวให้ความเห็นกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงภาพรวมของธุรกิจค้าหลักทรัพย์ว่าจริงอยู่ที่ ปี 2560 นี้ คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จะไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2560 ที่ตลาดดีมาก ปรับขึ้นมาจากระดับ 1570 จุด ขึ้นมาเป็นกว่า 1,700 จุดเท่ากับว่า มีการปรับขึ้นถึงกว่า 10% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ขี้เหร่เลยสำหรับการลงทุน

“โดยรวมนักลงทุนปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยาก การที่ตลาดขึ้นมา เพราะมีปัจจัยที่ทำให้ขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด และทำให้ตลาดขึ้นมาเร็วและแรง โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคม กันยายน และเดือนตุลาคม ทำให้หลายคนตกรถ ใช้คำว่าคนที่ไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ หรือว่าไม่ได้เลือกอะไรไว้ก็อาจจะตกรถรอบนี้ไป”

สำหรับปี 2561 ทาง KTBST มองว่าจะยากกว่าปี 2560 นี้อีก เพราะว่าหลักๆ คือ 1.พอร์ตตลาดหุ้นปรับขึ้นมาจาก 1,500 จุด เป็น 1,700 จุด การปรับขึ้นมาก็สะท้อนให้เห็นมูลค่าที่สูงขึ้น พูดง่ายๆ คือของราคาแพงขึ้น ดังนั้นโอกาสที่จะลงก็มีค่อนข้างเยอะ

คือถ้า 1. ตลาดไม่มีข่าวดีมากๆ หรือว่าบริษัทไม่สามารถเติบโตในด้านของกำไร หรือเศรษฐกิจของประเทศไม่ดี และ 2.ปัจจัยในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาน้ำมัน เรื่องของสหรัฐอเมริกา เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด หรือว่าจะเป็นเรื่องนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ตอนนี้เป็นข่าวที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นมา ก็ต้องดูว่าปีหน้าจะมีความต่อเนื่องสำเร็จหรือไม่ ถ้าสำเร็จก็อาจจะมีเอฟเฟ็กท์ที่ดีต่อเนื่อง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องมานั่งดูดีๆ ว่าอะไรจะได้รับผลกระทบหรืออะไรที่ไม่ได้รับผลกระทบ

ในส่วนของ อีซีบี ธนาคารกลางของทางยุโรปเอง ซึ่งปีหน้าก็ต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยช่วงปลายปี และก็เรื่องของราคาน้ำมัน ปัญหาทางภาคตะวันออกกลางที่มีการแย่งอำนาจหรือรวมอำนาจของซาอุดิอาระเบีย คิดว่าโดยรวมจะมีผลที่ส่งผลในปีหน้ามากกว่าปีนี้

สำหรับปีนี้เป็นปีที่เผลอรับข่าวดี ที่เผอิญหลายคนไม่ได้เอนจอยกับมัน แต่ปีหน้าคิดว่าจะมีข่าวดีที่จะเพิ่มเติมเข้ามาน่าจะน้อยลงถ้าเทียบกับปี 2560 นี้ ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องวางแผนรับมือให้ดี

“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าปีหน้า 2561 จะมีข่าวดีเท่าปี 2560 หรือไม่ แต่การที่ลงทุนก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปีที่ดีหรือไม่ดี นักลงทุนก็ต้องวางแผน ไม่ใช่ว่าปีหน้าหุ้นขึ้นไปแล้ว จะไม่ลงทุนเลย นั่งรอเฉยๆก็อาจจะเสียประโยชน์”

นายวิน ให้คำแนะนำว่า ดังนั้นนักลงทุนควรมองหาหุ้นที่มูลค่าที่เรายังสบายใจพอถือได้

“อาจจะมีความผันผวนบ้าง แต่โดยรวมถ้าผ่านความผันผวนไปได้ ก็ยังเอ็นจอยอัพไซส์อยู่ ตรงนี้เป็นสิ่งที่คงแนะนำอยู่ดี เพราะหากจะปล่อยเฉย ก็จะเสียโอกาส แต่ว่าจะหลับหูหลับตาเลือก ตรงนี้ก็จะเสี่ยงมากขึ้น ก็มีโอกาสก็ต้องดูดีๆ”

สำหรับคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นปีนี้แล้ว และมีบางคนที่ยังติดหุ้นอยู่ โดยเฉพาะเดือนที่ผ่านมา หุ้นแกว่งมากขึ้น อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้น่าจะมีโมเมนตั้มขึ้นได้เช่นกัน

“เรามองว่าโมเมนตั้มของตลาดหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศยังพอไปต่อได้ หุ้นหลายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยดูจากกำไรสุทธิของบริษัท ถ้ากำไรสุทธิเขาดีและยังโตต่อเนื่อง ก็ให้ถือต่อ เพราะยังน่าสบายใจอยู่ แต่ตัวไหนที่เผอิญมีแนวโน้มที่เราเริ่มเห็นว่ากำไรสุทธิจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทางที่ดีแม้พอร์ตที่ถือหุ้นนั้นจะขาดทุน หรือติดอยู่ ก็ต้องตัดทิ้ง บางทีก็อาจต้องวิเคราะห์ดูดีๆ ว่าหุ้นนั้นจะกลับมามีกำไรหรือไม่ ถ้าไม่กลับมาบางทีก็ต้องใช้คำว่า ตัดใจ เพราะว่าตอนนี้อาจจะขาดทุนอยู่ 10% แต่ว่าปีหน้าถ้าหุ้นนั้นมีผลประกอบการกำไรลดลงอีก 50% ก็แปลว่าในแง่ของราคาหุ้นนั้นจะแพงขึ้นอีกเยอะ ต้องเลือกดูตรงนี้ให้ดีๆสำหรับตลาดหุ้น”

สำหรับสินทรัพย์อื่นนอกจากหุ้น นายวินให้ความเห็นว่ายังพอไปได้ เช่นน้ำมัน แต่ว่าปัญหาที่ซาอุดิอาระเบียอาจทำให้ราคาน้ำมันทรงๆแถวๆ 50 ดอลลาร์ต่อบาเรล ก็เป็นเรื่องปกติ คิดว่าถ้าน้ำมันยังพอไปต่อ ส่วน ทองคำคิดว่าโดยรวมน่าจะทรงอยู่ที่ประมาณ 1,250-1,300 เหรียญต่อออนซ์ ขึ้นลงไม่ไปไหน เพราะปัจจัยทางด้านดอกเบี้ย กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังเป็นปัจจัยที่ไม่ได้ทำร้ายหรือจะส่งผลที่ดีต่อความเคลื่อนไหวของราคาทองคำมาก

นายวินกล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย ยังมีเสน่ห์ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอยู่ ที่ผ่านมาไทยมีเสน่ห์อยู่แล้ว และมีเสน่ห์มาสักพักใหญ่ ยังสวยอยู่ที่สำคัญสำหรับบ้านเราตอนนี้ ถ้าดูจากนี้ ตัวเลขจีดีพีก็มีการเติบโตขึ้น ตัวเลขทางด้านการลงทุนก็ดีขึ้น คิดว่าคงจะหนีไม่พ้นความชัดเจน 2 เรื่องคือ

1. การทำให้อีอีซีออกมาเป็นรูปธรรม ซึ่งตอนนี้ส่วนตัวมองว่าเป็นรูปธรรมค่อนข้างเยอะ เพียงแต่สำหรับต่างชาติเอง การเป็นรูปธรรมไม่ใช่แค่นโยบาย อาจจะต้องมีหลายๆอย่างที่เข้าไป เช่น อินฟลาสตรัคเจอร์ทางด้านอีอีซีที่ยังขาดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่ง ระบบพลังงานหรืออะไรก็ตาม และในแง่ผู้ลงทุนอย่างแท้จริง ตอนนี้ญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาแล้ว แต่อาจจะยังไม่มีชัดเจนเรื่องตัวเลข ว่าโรงงานจะใหญ่ขนาดไหน การจ้างงานขนาดไหน พวกนี้คิดว่าต่างชาติกำลังรอดูอยู่

“อีอีซี เห็นความชัดเจนทางด้านนี้ จะยิ่งเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย ก็หวังว่าจะเห็นความชัดเจน และเชื่อว่าต่างชาติขายมาตลอด 3 ปี และโดยรวมก็หวังว่าเขาจะกลับมา และหลายๆเฮ้าส์ในต่างประเทศก็เริ่มกลับมาดูเมืองไทยมากขึ้น จากที่ตอนแรกไม่ใส่ใจเลย ตอนนี้หลายที่ก็มีการอัพเดทไทย หรือบางที่มีความเข้าใจประเทศไทยเรามากขึ้น เหล่านี้ก็เป็นเสียงสะท้อนที่ดี แต่โดยรวมยังไม่สะท้อนเม็ดเงินที่จะเข้ามา”

2. เรื่อง ครม.เศรษฐกิจ ยังคิดว่าเป็นชุดเดิม ซึ่งมีมีความต่อเนื่องของนโยบาย เช่น อีอีซี นโยบายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และโครงสร้างเรื่องพลังงาน โดย 3 เรื่องนี้ ถ้าเป็นชุดเดิมต่อเนื่องก็คิดว่าโดยรวมก็คิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบใดๆ สำหรับคนไทยมองว่า ชุดเดิมน่าจะทำงานได้ดี คนไทยก็เชื่อไปแล้ว และจากนี้น่าจะเป็นเรื่องการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งเป็นโจทย์ว่า ว่าจะทำอย่างไรให้ต่างชาติเชื่อมั่นมากขึ้น

 
bottom of page