
รมช.ลักษณ์เร่งเครื่องแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ ย้ำ...รัฐจะไม่นำสต็อกยางมาขายในตลาด พร้อมประสานผู้ส่งออกรายใหญ่ ไทย อินโดฯ มาเลย์ ร่วมผลักดันราคายางในตลาดโลกให้สูงขึ้น ส่วนมาตรการภายในเตรียมไว้หลายเรื่อง ทั้งกระตุ้นการใช้ยางในโครงการภาครัฐ การสนับสนุนสินเชื่อ เสริมสภาพคล่องแก่กลุ่มเกษตรกรในการแปรรูปน้ำยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า และถ่วงดุลราคายาง ตลอดจนการอุดหนุนเงินแก่เกษตรกรที่ปลูกต้นยางใหม่ทดแทนต้นยางเก่าที่เสื่อมสภาพ หรือการตัดยางเก่าและปลูกพืชผลอย่างอื่นเป็นรายได้เสริม
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงภารกิจหลักในการเข้าไปดูแลเกษตรกรว่า ได้รับมอบหมายให้มาดูแลเรื่องยางพารา โดยนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรงเกษตรและสหกรณ์ให้มาดูแลทางด้านการผลิตรวมถึงเรื่องของราคายางพาราด้วย ซึ่งขณะนี้มีปัญหาราคายางที่ลดลงอย่างมากจึงจำเป็นต้องหารือกับเกษตรกรชาวสวนยางอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะหาวิธีการเข้าไปดูแลแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนี้
“ราคายางในช่วงต้นปียังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ขณะนี้ราคายางพาราปรับตัวลดลงมา จนถึงช่วงนี้ก็ถือว่าทรงตัว คาดว่าจากนี้ไปน่าจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาช่วยเสริม สิ่งที่มีความชัดเจนคือที่รัฐมนตรีว่าการกระทรงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศออกไป ว่าเราจะไม่เข้าไปเอายางพาราที่เป็นสต็อกของรัฐบาลที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่งออกมาขายในตลาด ตรงนี้ยืนยันได้ และจะเป็นจุดเริ่มต้นว่าสต็อกส่วนนี้จะไม่เข้ามารบกวนกลไกการทำงานของตลาด”
นายลักษณ์ยังได้กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมามีการหารือกันระหว่างประเทศที่เป็นผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งมีตัวแทนสภายางพาราระหว่างประเทศ มาพูดคุยกัน โดยมีความเห็นตรงกันว่า ข้อมูลในเรื่องอุปสงค์และอุปทานยางพาราในตลาดโลก ไม่มีอะไรผิดปกติไปช่วงที่ผ่านมา ยอดการส่งออกไปตลาดโลกรวมกันทั้ง 3 ประเทศประมาณ 60-70% แต่จากที่ฝนตกลงมาจำนวนมากใน 3 ประเทศผู้ผลิตยางทำให้ผลผลิตยางพาราลดลง ปริมาณอุปทานของยางพาราที่จะออกไปสู่ตลาดในช่วงต่อไปนี้น่าจะลดลง
“เมื่อมีการประมวลข้อมูลทั้งหมดแล้ว จึงมีความเห็นร่วมกันว่า ราคายางที่เป็นอยู่ในปัจจุบันน่าจะต่ำเกินไป และมีผลกระทบที่สำคัญต่อรายได้และความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรไทยรายย่อย ตรงนี้จึงอยากจะสื่อข้อมูลดังกล่าวให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องที่รับยางพาราจากเกษตรกรไป ว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเข้ามาช่วยดันให้ราคายางสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
แต่อย่างไรก็ตาม นายลักษณ์ได้กล่าวถึงสต็อกยางของประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างประเทศจีน ว่ามีแนวโน้มที่ลดลง จึงน่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับวงจรยางพาราต้องพิจารณาดูว่ามีความเป็นธรรมมากน้อยขนาดไหนสำหรับเกษตรกรรายย่อยที่ยังได้ราคายางในปัจจุบันที่ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน
“อยากขอร้องทุกภาคส่วนโดยเฉพาะผู้ซื้อยางจากเกษตรกรได้ตระหนักถึงตรงนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเกษตรกรรายย่อยหมดกำลังใจ ยกตัวอย่าง เกษตรกรชาวไทยที่เกี่ยวข้องกับยางพาราประมาณ 1.6 ล้านราย และเป็นแรงงานผลิตอีกประมาณ 7 แสนราย ซึ่งถ้าบุคลากรเหล่านี้หมดกำลังใจ และทิ้งอาชีพนี้ไปก็จะเป็นปัญหากับวงจรยางพารา ดังนั้น จึงคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจะดูแลอย่างเดียว แต่อุตสาหกรรมทั้งหมดต้องช่วยกันด้วย ซึ่งก็มีความเห็นร่วมกันว่าราคายางพาราในปัจจุบันไม่สะท้อนพื้นฐานทางด้านการตลาดอย่างแท้จริง ก็เลยมีการตกลงกันว่า อยากจะใช้มาตรฐานในเรื่องของการควบคุมการส่งออกยาง โดยในช่วงประมาณกลางเดือนธันวาคม 2560 นี้ จะมีการควบคุมปริมาณการส่งออกยาง ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ที่รับยางไปเป็นวัตถุดิบในโรงงานต้องมีความใส่ใจมากขึ้น ตรงนี้จะเป็นส่วนที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นในการซื้อยางมากขึ้น และราคาน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยช่วงที่ผ่านมาก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น คือเพิ่มขึ้นมากิโลกรัมละ 50 สตางค์ คิดว่าถ้าทุกภาคส่วนช่วยกันและมีมาตรการที่กล่าวมาข้างต้น ก็น่าจะทำให้ราคายางพาราดีขึ้น ตรงนี้คือการทำงานตามกลไกตลาดที่เป็นอยู่”
นอกจากนี้ นายลักษณ์ยังกล่าวด้วยว่านายกรัฐมนตรีมีความกังวลใจและเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรว่าจะได้รับผลกระทบจากราคายางที่ตกต่ำ และมีการสั่งการมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการยางแห่งประเทศไทยร่วมกันสรุปสถานการณ์ทั้งหมด โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา มีการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการ ซึ่งได้ระดมสมองกันว่าจะมีแนวทางเพิ่มเติมอย่างไร
“นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุมครม.สัญจรที่หาดใหญ่ว่า ขอให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานช่วยกันดูว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเพิ่มปริมาณการใช้ยางภายในประเทศ ตรงนี้จะเป็นอีกมาตรการหนึ่ง ขณะที่หน่วยงานต่างๆก็จะมีงบประมาณส่วนหนึ่งที่จะนำไปใช้ในเรื่องของการทำถนน ทั้งหมดนี้จะมีการจัดทำแผนงานมารองรับต่อไป ซึ่งเกษตรกรน่าจะเบาใจได้ ทั้งหมดนี้ถือเป็นวัฏจักรของยางพารา เพราะราคายางก็เคยอ่อนตัวลงมาครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน และพอช่วยกันได้ระดับหนึ่ง ราคาก็ดีขึ้นในช่วงปลายปีที่แล้วและช่วงต้นของปีนี้ แต่ขณะนี้ก็มาอ่อนตัวอีก อย่างไรก็ตาม หลักสำคัญจากที่นายกรัฐมนตรีได้พูดไว้คือ ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก มีผลผลิตยางดิบประมาณ 4.35 ล้านตัน โดยมีการใช้ภายในประเทศประมาณ 6 แสนตัน หรือ 14% เท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือกว่า 3 ล้านตันเป็นการส่งออก ดังนั้น ถ้าราคาตลาดโลกมีความผันผวน ก็จะกระทบราคาในประเทศ ซึ่งวิธีการสำคัญที่ทางนายกรัฐมนตรีให้แนวทางไว้คือต้องรีบและเร่งในเรื่องของความพยายามที่จะให้การใช้ยางพาราภายในประเทศของเราเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้ก็จะเป็น Domestic Demand โดยเราสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ และจะช่วยให้มีความสมดุลมากขึ้น มีภูมิคุ้มกันสูงขึ้นในแง่ของราคายางพารา”
ส่วนแนวทางอื่นๆ ในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำนั้น นายลักษณ์กล่าวว่าในช่วงที่มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ ธ.ก.ส. นั้น ทางธ.ก.ส.มีส่วนร่วมในการเสริมสภาพคล่องเข้าไปในระบบสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อที่จะรวบรวมผลผลิตยางพารา แล้วนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ขณะที่อีกส่วนคือทางธนาคารพาณิชย์ทั่วไปก็มีการเสริมสภาพคล่องไปที่ผู้ประกอบการยางเพื่อที่จะรวบรวมน้ำยางข้น ไปทำเครื่องมือแพทย์
“คิดว่าการช่วยเสริมสภาพคล่องจะเป็นแนวทางที่จะทำต่อไป รวมทั้งอีกโครงการที่มองว่าประสบความสำเร็จ และน่าจะทำต่อคือเรื่องการให้สินเชื่อระยะยาวกับเกษตรการชาวสวนยางรายย่อยไปทำอาชีพเสริม คือให้มีกิจกรรมทางด้านการเกษตรหลายๆอย่างในส่วนยาง พอยางมีราคาอ่อนตัวลง เกษตรกรก็จะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีกิจกรรมด้านการเกษตรอื่นๆ มาช่วยในเรื่องรายได้ เรื่องนี้ก็เป็นบทบาทที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้เข้าไปช่วยทำอย่างต่อเนื่อง”
ส่วนประเด็นความร่วมมือของประเทศที่ผลิตยางรายใหญ่ คือไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่จะลดกำลังการผลิตเหมือนโอเปกลดการผลิตน้ำมันเพื่อพยุงราคานั้น นายลักษณ์กล่าวว่า มีการคุยกันบ้างแล้วใน 3 ประเทศ เป็นการคุยกันในระดับผู้แทน ซึ่งเห็นตรงกันว่าราคายางในขณะนี้ไม่สะท้อนพื้นฐาน ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อย ดังนั้น ทั้ง 3 ประเทศจึงตกลงที่จะใช้กลไกสำคัญในการควบคุมการส่งออก
“มีการตกลงกันไว้ในการดำเนินการเรื่องนี้ 4 เดือน และจะควบคุมการส่งออก 3.5 แสนตัน ซึ่งทั้ง 3 ประเทศก็รับไปตามสัดส่วนการผลิตภายในประเทศ ตรงนี้เหมือนเป็นการส่งสัญญาณไปถึงผู้ที่จะต้องใช้ยางเป็นวัตถุดิบว่า อาจจะประสบการขาดแคลนวัตถุดิบ ดังนั้น จะต้องเร่งในการซื้อ ตรงนี้ถือเป็นหลักการ และจะเริ่มในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2560 นี้เป็นต้นไป...
ส่วนที่ชาวสวนยางพาราไทยบอกให้ใช้ม.44 เรื่องนี้ความจริงอยู่ในแผนอยู่แล้ว ซึ่งขณะนี้ก็ดำเนินการกันอยู่ เช่นยางที่มีอายุมาก ผลิตไปก็ไม่คุ้ม ก็จะมีโครงการรองรับส่งเสริมการปลูกยางทดแทน หมายความว่ายางเก่าที่ไม่มีคุณภาพ ก็ทดแทนด้วยยางใหม่เข้าไป เสร็จแล้วก็จะมีการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้กับผู้ที่จะไปปลูกยางใหม่ทดแทนยางเก่าไร่ละ 1.6 หมื่นบาท แต่หากเกษตรกรสวนยางมีความประสงค์ปลูกพืชอื่นแทนสวนยางก็จะให้เงินสงเคราะห์เพิ่มสูงกว่าคือประมาณ 2 หมื่นบาทต่อไร่ ทั้งหมดนี้เป็นแผนระยะยาวที่จะทำให้พื้นที่การปลูกยางเข้าสู่ดุลยภาพมากขึ้นในแง่ของซัพพลายและดีมานด์ในอนาคต เพราะมีเป้าหมายที่จะลดสวนยางลงประมาณ 7 แสนไร่ ซึ่งส่วนตัวเมื่อเข้าไปดูแลก็จะพยายามทำเรื่องนี้ให้มีความเข้มข้น และได้ผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยจะมีมาตรการทั้งสั้น กลาง และยาว”