
ในสายตาของนักกลยุทธ์การลงทุน...เบญจรงค์ เตชะมวลไววิทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์ บลจ.กสิกรไทย หุ้นไทยยังมีเสน่ห์
นักลงทุนต้องระมัดระวัง
แต่อย่ากลัวเกินเหตุ
เมื่อถามว่า สถานการณ์ตลาดเงิน ตลาดทุนโลก ในจังหวะแบบนี้ต้องระมัดระวังหรือไม่ เราได้บอกว่า ต้องระมัดระวังมาสักพักหนึ่งแล้ว จะเห็นว่าเดือนมกราคมหุ้นขึ้นอย่างมาก
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่บอกอยู่แล้วว่าต้องระมัดระวัง ถามว่า เหตุการณ์ใดที่ต้องระมัดระวังมาก ส่วนใหญ่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เหมือนกับเป็นปัจจัยที่ค่อนข้าง Discount ปัจจัยที่ทุกคนรู้อยู่แล้วอย่างเฟดจะลด Balance Sheet , ธนาคารกลางยุโรปหรือญี่ปุ่นจะเริ่มลดการอัดฉีด QE ทำให้ต้องระมัดระวังกันเอง เพราะหุ้นโลกปรับขึ้นมากแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ทาง บลจ.กสิกรไทย มองไม่แตกต่างกันมากกับผู้เชี่ยวชาญหลายท่านของบริษัทอื่น ว่าน่าจะเป็นความผันผวนที่เกิดขึ้นจะไม่ยาวนานมาก การปรับฐานหลังจากที่หุ้นขึ้นสูงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะ ครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤตอื่น คือปัจจัยเสี่ยงยังต่ำ ปัจจัยพื้นฐานยังดีชัดเจน เช่น หุ้นสหรัฐอเมริกา ที่ก่อนหน้านี้ขึ้นมาเยอะ จากนั้นปรับลดลงมาเยอะมากในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวมทั้ง Nasdaq ก็ลงมามาก เช่นกัน ซึ่งสวนกระแสผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของอเมริกาเกินกว่า 85% ที่ทยอยประกาศผลประกอบการ Q4/2560 ดีเกินคาด รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนในยุโรปที่เวลาประกาศผลประกอบการสำหรับปี 2560 ถือเป็นปีแรกที่เร่งตัวขึ้น จากที่ผ่านมาปรับลงมาโดยตลอด ... เรียกว่าเป็นข่าวดีเยอะมาก
ดังนั้น ถามว่ากลัวระยะยาวหรือไม่ตอบเลยว่า ไม่กลัว คิดว่าการปรับตัวลดลงของหุ้นโลกและหุ้นไทยในเดือน กุมภาพันธ์เป็นการปรับตัวเข้าไปในสู่ระดับที่มีเหตุและผลขึ้น
ตั้งข้อสังเกต
ความผันผวนครั้งนี้จะจบเมื่อไหร่
ถ้าเช่นนั้นถามว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่ ให้จับตามองที่ระดับราคาพันธบัตร Bond ค่าเงิน
อย่างตอนนี้ค่อนข้างเป็นเหตุเป็นผลเพราะค่าเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็ง และเริ่มกลับไปซื้อ Bond กัน เริ่มลดการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ที่ดอลลาร์อ่อนลงมาในเดือนมกราคมก็เริ่มกลับมาแข็งค่า 2% การซื้อขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกาที่ให้อัตราผลตอบแทนจากที่ปรับลง ก็ปรับขึ้นมาจนปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 2.85% ซึ่งสมเหตุสมผล คิดว่าใกล้เคียง 3% ภายในเร็วๆ นี้
ไม่ต้องกลัวติดดอย
ลงทุนในหุ้นเวิร์คสุด
หากวัดกันที่ผลตอบแทนการลงทุน การจัดสรรสัดส่วนการลงทุน ก็ต้องกล่าวว่าการลงทุนในหุ้นดีที่สุด ยิ่งในจังหวะที่หุ้นตกลงมาในภาวะที่เศรษฐกิจยังดี ถึงแม้จะเป็นเศรษฐกิจช่วงปลายของขาขึ้น แต่หุ้นก็มีการปรับเขย่าลงมาจนทำให้มีความน่าสนใจ ผลประกอบการยังไปได้
อย่างไรก็ตามการจะเข้าลงทุนในหุ้นแบบไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ดูตาม้าตาเรือก็คงไม่ได้ เพราะในหลายตลาดหุ้นได้ปรับขึ้นมา 5-6 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นการเลือกเข้าไปลงทุนในหุ้นก็ต้องเลือกเข้าในตลาดที่ระดับราคาไม่แพงและผลประกอบการยังเป็นไปได้
ส่วนพันธบัตรเรียกว่าอยู่ในช่วงที่ไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากขณะนี้เป็นช่วง 1-2 ปีสุดท้ายของเศรษฐกิจขาขึ้น เพราะฉะนั้นนักลงทุนก็ควรเริ่มถือพันธบัตรไว้บ้างเพื่อเป็นตัวถ่วงไว้ เมื่อหุ้นปรับตัวลงหรือเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว
สำหรับนักลงทุนไทย ต้องย้ำว่ายังมีความหวังแม้หุ้นไทยจะปรับลดลงมามากหลังทำนิวไฮในเดือนมกราคม
หุ้นไทยจะไปได้อีกพอสมควร คิดว่าอย่างน้อยในปีนี้ยังน่าจะสบายใจอยู่ เพราะปัจจัยพื้นฐานยังดีทั่วโลก ดีมานด์ชัดเจนมาก Global Trade ตัวเลขน่าประทับใจ แล้วระดับ Valuation กลับมาทำให้น่าสนใจมากขึ้น คิดว่าหุ้นไทยยังยืนได้ในปีนี้
สรุปว่าหุ้นไทยโดยรวมยังมีเสน่ห์ ปลายปีมองดัชนีอยู่ที่ 1,850 จุด ผลประกอบการหรือ Earning ปีนี้มีความใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาน่าประมาณ 10%
แนะกลยุทธ์
ทยอยเก็บของเข้าพอร์ต
จังหวะการลงทุนเป็นเรื่องที่นักลงทุนให้ความสำคัญมาก ขณะที่หลายคนกังวลใจกับหุ้นที่ปรับตัวลดลงมา แต่ในความคิดเห็นของนักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย ให้ความเห็นว่า นี่คือเวลาเก็บหุ้น
คิดว่าตอนนี้ทยอยเข้าซื้อได้แล้ว จากสถิติเวลาหุ้นที่จะ Collect ในภาวะที่ไม่ใช่วิกฤตจะปรับลงประมาณ 10% ถือว่าเต็มที่แล้ว ในหลายตลาดลงมาแตะ 10% แล้ว หากไม่นับเคสของไทยตลาดที่ปรับขึ้นแรงของโลกอย่างเกาหลีใกล้เคียงบวก/ลบ 10 แล้ว ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ และ Valuation ในหลายตลาดกลับมาน่าสนใจจริงๆ เช่น จีน เริ่มกลับมาใกล้เคียงกับตัวเลข PE ระยะยาว หรือญี่ปุ่นที่ตัวเลข Valuation ที่เรียกว่าเป็นตลาดเดียวที่ไม่แพง แม้กระทั่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ยังต่ำกว่า Long Term PE ตอนนี้ลงมายิ่งถูกกว่ามาก เพราะฉะนั้นควรจะเริ่มทยอยเข้าได้แล้ว หรือบางคนมีเงินเย็นเข้าตอนนี้เลยก็ได้