
ช่วงส่งท้ายปลายเดือนมีนาคม-ต้นเมษายนลุ้นหุ้นขึ้น ทดสอบ 1,820-1,825 อีกรอบ ก่อนหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ท่ามกลางความกังวงที่เป็นปัจจัยลบฉุดตลาด ทั้งกรณีสงครามการค้า และกรณีความมั่นคงหลังเฟซบุ๊กถูกล้วงตับจนหุ้นตก ไล่มาถึงเมืองไทยที่สถานการณ์การเมืองร้อนขึ้นเป็นลำดับ
จากสภาวะที่หุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนมาเป็นแรมเดือน หลังจากที่ดัชนีหุ้นปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเป็นการขึ้นของหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ขณะที่หุ้นเกือบทั้งกระดานปรับตัวในทิศทางตรงกันข้าม โดยนักลงทุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดที่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้ในช่วงที่ผ่านมาคือกลุ่ม นักลงทุนสถาบัน และ Prop Trade ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายมากกว่าซื้ออย่างต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้าลงทุนในหุ้นไทยอย่างจริงจัง ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่าดัชนีหุ้นไทยที่แกว่งตัวตลอดเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ไม่หลุดแนวรับสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถข้ามแนวต้านหลักได้ โดยแกว่างในกรอบ 1,760-1,820 เป็นหลัก ทำให้ มีการตีความว่าหุ้นไทยไม่น่าจะหลุดกรอบล่างนี้ลงไปแล้ว แต่รอวันเหวี่ยงขึ้น หลังการประชุมเฟดวันที่ 20-21 มีนาคม เสร็จสิ้นลงซึ่งรับรู้กันก่อนหน้านี้แล้วว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย และจะค่อยๆปรับขึ้นอีกในการประชุมครั้งถัดๆไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นรับข่าวไปแล้ว
จึงประเมินกันว่าน่าจะเป็นปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายาน 2561 นี้ ก่อนที่ตลาดจะหยุดยาวหลายวันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หุ้นไทยอาจจะมีทิศทางเป็นขาขึ้นมากกว่าลง แม้จะอยู่ในท่ามกลางความกังวลในเรื่องของสงครามการค้า ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จุดชนวนขึ้น ซึ่งจะประมาทไม่ได้ ตลอดจนเรื่องของความมั่นคงทางการเมืองระหว่างประเทศกรณีรัสเซีย-อังกฤษ เรื่อยมาจนถึงกรณีที่เฟซบุ๊กโดนล้วงตับ โดยวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2018 ที่ผ่านมา หุ้นของ Facebook ได้ร่วงลงเกือบ 7% ซึ่งเป็นการตกใน 1 วัน ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี Bloomberg ได้รายงานว่า Facebook ได้สูญเสียมูลค่าหลักทรัพย์ไปราว 4.3 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 15 เหรียญต่อหุ้น และส่งผลกระทบไปยังสื่อโซเชียลอื่นๆ เช่น Twitter และ Snap ก็ถูกแรงกระแทกด้วย โดย Facebook ได้ประกาศว่าได้ระงับการเข้าถึงของ Cambridge Analytica (บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางการเมือง ในแคมเปญหาเสียงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์) เนื่องจากละเมิดเงื่อนไขในการให้บริการ โดยมีการแชร์ข้อมูลผู้ใช้ราว 50 ล้านยูสเซอร์ โดยที่ผู้ใช้มิได้ยินยอม ทำท่าว่าเรื่องราวจะใหญ่โต ตลอดจนเรื่องราวใหญ่ๆของไทยเอง นั่นคือกรณีประเด็นการเลือกตั้ง และการเมืองที่เริ่มร้อนแรงขึ้นท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อน
บล.โกลเบล็ก จับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน และสหรัฐ หลังสหรัฐผ่านกฎหมาย Taiwan Travel Act และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำหุ้นแกว่ง โดยให้กรอบ ดัชนี 1,775 -1,825 จุด และต้องเลือกซื้อหุ้นเป็นรายตัว
บล.แอพเพิล เวลธ์ ย้ำเช่นกันว่า ทั่วโลกกังวลกรณี ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยี , โทรคมนาคมจากจีน และการขึ้นดอกเบี้ยเฟดทำให้ต้องประเมินความเสี่ยงกัน ซึ่งดัชนีก็น่าจะอยู่กรอบ 1,806-1,810 จุด แต่ถ้ายืนแบบ Sideway Up ลุ้นให้ไปถึง 1,820-1,825 จุดได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพหุ้นในระยะต่อไป หลังหยุดยาวสงกรานต์ อาจมีการพูดถึงข่าวลบๆมากขึ้นอีกระลอก และน่าจะเป็นช่วงที่หุ้นตกมากกว่าขึ้น
ก่อนหน้านี้ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor ConfidenceIndex) ประจำเดือนมีนาคม 2561 ลดลง ระบุสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายทางการเงินสหรัฐเป็นปัจจัยที่นักลงทุนเฝ้าติดตาม โดยเฉพาะแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นในพฤษภาคม 2561 ปรับตัวลดลง 8.70%