top of page
379208.jpg

Bond Yield อเมริกาทะลุ 3% แต่ยังหาจังหวะลงทุนได้


ทิสโก้ชี้ บอนด์ยิลด์ถึงระดับเหมาะสมของปีที่ 3% แล้ว คาดต่อจากนี้ตลาดหุ้นเริ่มมีโอกาสปรับลงจำกัด แนะลงทุนใน 3 กลุ่มหลัก คือ การเงินของสหรัฐ ญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่ ให้ระวังอีกทีในช่วงไตรมาส 4/2561 ที่หุ้นจะปรับฐานลงแรงๆ เนื่องจากสภาพคล่องลด เศรษฐกิจชะลอ และเลือกตั้งสหรัฐ

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ให้ความเห็นกรณีที่ ในช่วง 2 สัปดาห์ปลายเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร (Bond Yield) ระยะ 10 ปีของสหรัฐ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงขั้นทะลุระดับ 3% เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2557 หลังความกังวลจากสงครามการค้าโลกเริ่มผ่อนคลาย ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่งผลต่อเนื่องไปกดดันระดับราคาหุ้น (Valuation) และทำให้ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานทั่วโลก

“Bond Yield ที่เพิ่มขึ้นกดดันราคาหุ้นและทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานทั่วโลก เป็นประเด็นที่เราเตือนนักลงทุนมาตลอดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว” นายคมศร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ มองว่าตลาดหุ้นที่จะปรับฐาน ปรับลดลง (Downside) เริ่มจำกัดแล้ว และตลาดหุ้นน่าจะทยอยฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงเดือน พฤษภาคม 2561 เนื่องจาก Bond Yield ที่ระดับประมาณ 3% ถือเป็นระดับที่เหมาะสมในปีนี้ และคาดว่า Bond Yield จะไม่สูงเกินไปกว่านี้มากนัก เพราะ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐ ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่สูงกว่าคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมในระยะยาวของ Fed (FOMC longer run dot plot ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 2.875% ในการประชุมเดือน มีนาคม) ซึ่งชี้ว่าตลาดได้สะท้อนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ไปมากแล้ว

ทั้งนี้ ราคาหุ้นในปัจจุบันยังน่าสนใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/2561 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับระดับ Forward P/E (สัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า) ของดัชนี S&P500 ในปัจจุบันอยู่ที่ 16.2 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่า Earning Yield Gap Model ที่ ทิสโก้ ได้ทำการทดสอบออกมาอยู่ที่ระดับ 16.7 เท่า จึงน่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดได้ในช่วงนี้ (การคำนวณ Earning Yield Gap Model เราสมมุติให้ Bond Yield เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 3% และ Earning Yield Gap ..ซึ่งคือ ผลตอบแทน ณ ปัจจุบันของตลาดหุ้นลบด้วยผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี.. อยู่ที่ 3% จะให้ค่า Forward P/E ที่เหมาะสมของดัชนี S&P500 ที่ 16.7 เท่า)

ดังนั้น จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

1) หุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการผ่อนคลายกฎระเบียบสถาบันการเงิน (Financial Deregulation) ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์จะผลักดันให้เกิดขึ้นในปีนี้

2) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งยังเทรดที่ระดับ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเงินเฟ้อ

และ 3) ตลาดหุ้นเกิดใหม่ เช่น จีนและอินเดีย ที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูงในระยะยาว ซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบจากการลดลงของค่า P/E ได้

นักลงทุนยังต้องลงทุนด้วยความระมัดระวังไปตลอดทั้งปีนี้ โดยเราประเมินว่าตลาดอาจมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานอีกครั้งในไตรมาส 4 เนื่องจาก

1) สภาพคล่องที่ลดลงจากการลดงบดุล (Balance Sheet) ของ Fed และการยุติมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรป (ECB)

2) ความเสี่ยงในการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกในปี 2019 จากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและผลของนโยบายกระตุ้นทางการคลังสหรัฐ ที่เริ่มหมดไป

และ 3) ความเสี่ยงจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ ในเดือน พ.ย. ซึ่งพรรครีพับลิกันมีโอกาสสูญเสียเสียงข้างมากในทั้งสภาบนและสภาล่าง ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการผ่านขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์

82 views
bottom of page