
ตลาดทำ Window Dressing ดันหุ้นทิ้งทวนปิดงบครึ่งปีและงบไตรมาส 2/2561 ตามซีซันส์ช่วยหนุนยันดัชนีพอให้นักลงทุนได้หายใจหายคอ แต่จากนั้นหุ้นไทยยังจะอยู่ในสภาวะผันผวนต่อเนื่องในไตรมาส 3/2561 …ลุ้นท่าทีอเมริกา-จีน 6 กรกฎาคม จะจุดหรือจบสงครามการค้า รวมทั้งกรณีของค่าเงินดอลลาร์ กระแสฟันด์โฟล และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน 2561 เป็นช่วงที่มีความคาดหวังอย่างมากว่า จะเกิดบรรยากาศที่เรียกว่า Window Dressing ที่มักจะเกิดในช่วงกลางปีได้มากและชัดเจนกว่าทุกช่วงเวลาในรอบปี โดยเฉพาะเมื่อดัชนีและราคาหุ้นในตลาดถูกกดลงต่ำมาก มาอย่างต่อเนื่องจนหลุดระดับแนวรับสำคัญ 1,700 1,650 และ 1,620 จุด โดยมีความคาดหมายว่านักลงทุนสถาบันต่างๆ กองทุนจะหันกลับมาซื้อมากขึ้นเพื่อผิดบัญชีกลางปีและไตรมาส 2 ของปี ซึ่งจะช่วยยกดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้นมาได้บ้าง อย่างไรก็ดี การทำ Window Dressing ไม่ได้ช่วยยกตลาดให้กลับคืนหวือหวาได้มากนัก โดยตลาดยังไม่สามารถกลับมาเหนือ 1,650 และ 1,700 จุดได้อย่างมั่นคง ส่งผลให้ตลาดยังคงมีความเปราะบางและผันผวนได้ต่อไปในไตรมาสที่ 3/2561
บล.เออีซี (AECS) ระบุหลังมีการทำ Window Dressing ในช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 2/2561
ยังมีปัจจัยต่างประเทศที่ยังคงต้องจับตา ได้แก่ ความกังวลจากประเด็นสงครามการค้า
ทั้งนี้นักลงทุนทั่วโลกต่างต้องจับตามองวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 เป็นสำคัญเนื่องจาก จะเป็นวันที่ชี้ว่าสงครามการค้าจะจบ หรือจะมีการจุดติดไฟให้เกิดสงครามหนักมากขึ้น
โดยอเมริกาจะมีการเจรจากับจีนเพื่อยุติการจัดเก็บภาษีขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะเริ่มจัดเก็บจริงตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคมนี้ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน
นอกจากนี้ยังคงต้องจับตามอง มีผลต่อการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนกันยายนนี้
ด้วย รวมทั้งยังต้องจับตาการประชุมของกลุ่ม OPEC และรัสเซีย ในเดือนกรกฎาคมนี้ หากผลการประชุมมีมติเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด (เพิ่มขึ้น 600,000-700,000 บาร์เรลจากข้อจำกัดด้านการผลิตในบางประเทศ) อาจทำให้เกิดความกังวลด้าน Oversupply อีกครั้ง ทำให้มีมุมมองเชิงลบและคาดตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกมีโอกาสผันผวนต่อ
”ในทางเทคนิคสำหรับนักเก็งกำไร และนักลงทุนระยะกลาง ยังเน้นการถือเงินสดก่อน”
บล.เอเซีย พลัส มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3/2561 ยังผันผวนสูง โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากความกังวลผลกระทบจากสงครามการค้าโลกที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง สร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลก ขณะที่ดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาขึ้น หนุนเงินไหลออก กลยุทธ์การลงทุนจึงให้ทยอยสะสมหุ้นที่ SET Index ต่ำกว่า 1,700 จุด โดยเน้นหุ้นปลอดภัยจากดอกเบี้ยขาขึ้น และเลี่ยงหุ้นที่ถูกกระทบจากสงครามการค้าโลก
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 2561 เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น จากสงครามการค้าโลกที่ขยายวงกว้าง โดยขณะนี้ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ กับจีนเท่านั้นที่เป็นคู่พิพาทกัน แต่สหรัฐฯ ยังเปิดศึกการค้ากับยุโรป เม็กซิโก และแคนาดา ทำให้หลายประเทศดังกล่าว ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน หลังจากสหรัฐฯ ได้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมทั่วโลกไปก่อนหน้านี้
จากการศึกษาของธนาคารโลก (World Bank) ประเมินว่าการกีดกันทางการค้าทุก ๆ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จะกระทบต่อการค้าโลกปี 2561 หดตัวราว 9% ขณะที่วงเงินกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ อาจขึ้นไปแตะ 2.5 แสนล้านเหรียญฯ ทำให้ผลกระทบรุนแรงขึ้น และไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น แต่ผู้ผลิตสินค้าสนับสนุนการส่งออก (Supply Chain) กระทบด้วย
ขณะที่ผู้บริโภคจะกระทบจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น ตามมาด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อ และกระทบเศรษฐกิจโลกในท้ายที่สุด ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (GDP Growth) ปี 2561-2562 ตามคาดการณ์ของ IMF อยู่ที่ 3.9% yoy เป็นการเติบโตจากฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป
“ช่วงที่เหลือของปีนี้ กระแส Fund Flow ยังไหลออก เนื่องจากสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด นับตั้งแต่ต้นปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ต่างชาติขายสุทธิหุ้นภูมิภาคเอเชียกว่า 1.93 หมื่นล้านเหรียญ โดยหุ้นไทยถูกขายมากสุดในกลุ่ม TIP
อย่างไรก็ตาม มองว่าจากนี้ไปแรงขายหุ้นภูมิภาคน่าจะจำกัด สะท้อนจากการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นเดือน พ.ค. 2561 อยู่ที่ 23.2% รวมกับการถือผ่าน NVDR อีก 7.01% เป็น 30.20% ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับสูงสุดที่ 36.88% เมื่อสิ้นเดือน มี.ค.2555 สอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่าไตรมาส 3 ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเฉลี่ยเล็กน้อย 771 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิ 5 ใน 10 ปี”
นางภรณีกล่าวอีกว่า ไตรมาสที่ 3 และช่วงครึ่งปีหลัง เรื่องสงครามการค้าโลกจะรุนแรงมากขึ้น กลายเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก เรื่องดอกเบี้ยก็เช่นกัน สหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด เงินทุนก็จะยังไหลออก สองเรื่องนี้จะเป็นประเด็นหลัก ที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงหุ้นไทย
สำหรับภาพรวมกำไรสุทธิตลาดในไตรมาส 2 ปี 2561 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก แต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี อาจได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่ฝ่ายวิจัย ปรับลดคาดการณ์กำไรตลาดปี 2561 มาอยู่ที่ 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS 110.70 บาทต่อหุ้น จากประมาณการเดิมที่ 1.12 ล้านล้านบาท และ EPS 112.39 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมามีการปรับฐานเกิดขึ้น ทำให้ระดับ Expected P/E ลงมาอยู่ที่ราว 15 เท่า และมี upside ประมาณ 7% โดยอิง P/E 16 เท่า ทำให้ได้ SET Index เป้าหมายที่ 1,771 จุด ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 40% ของพอร์ต จากเดิม 30% โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้น Domestic Play ใน 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มปลอดภาระหนี้ กลุ่มมีหนี้กับสถาบันการเงินน้อย กลุ่มมีภาระดอกเบี้ยจ่ายอัตราคงที่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่จะได้ประโยชน์จากความคืบหน้าการลงทุนภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชน ที่มีสัญญาณดีขึ้น ขณะที่ให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่อาจกระทบจากสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม มองว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นตอบรับความกังวลจากประเด็นสงครามการค้าไประดับหนึ่งแล้ว
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง ให้ความเห็นว่า ภาวะ Risk off ส่งผลให้ Fund flow ไหลออกจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging market ) Tradewar ยากต่อการประเมินผลกระทบ
ปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น จากทั้งต้นทุนการลงทุนอย่างอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ค่อยๆ ปรับตัวขึ้น ตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ และเชื่อว่าดอกเบี้ยของธนาคารกลางอีกหลายแห่งในโลกก็จะทยอยปรับขึ้นตามสหรัฐในอีกไม่นาน นำโดย ECB, BOE และอีกหลายๆประเทศในแถบ EM ประกอบกับความกังวลเรื่องสงครามการค้า ไม่เพียงส่งผลต่อตลาดหุ้นเท่านั้น ในระยะกลาง-ยาว หากสหรัฐไม่เปิดทางการเจรจากับนานาประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลกที่ลดลง Marginในหลายๆ อุตสาหกรรมจะบางจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนได้
ด้วยเหตุนี้จึงแนะเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ล่าสุด 2 องค์กรใหญ่ของเยอรมัน (IFO, DIW) ระบุประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปกำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูงหลังเข้าสู่สงครามการค้า พร้อมปรับเป้า GDP ปีนี้ลงเหลือเพียง 1.8-1.9% จาก 2.4-2.6%
“ปัจจุบันตลาดหุ้นเริ่มเข้าสู่สภาวะ Risk Off จากประเด็นสงครามการค้าที่เริ่มรุนแรงขึ้น ซึ่งยังไม่สามารถประเมินผลกระทบอย่างชัดเจน เนื่องจากมาตรการดังกล่าวที่มีผลจริงในวันที่ 6 ก.ค.นี้สำหรับนักลงทุนระยะยาว คงคำแนะนำ Wait&See เพื่อรอความชัดเจน”