Robert Shiller นักเศรษฐศาสตร์และอาจารย์มหาวิทยาลัย Yale เจ้าของรางวัลโนเบล ออกโรงเตือนว่าช่วงเวลาอันเลวร้ายของตลาดหุ้นกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว โดย Robert Shiller กล่าวด้วยว่า แนวโน้มผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาวจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งภาวะตลาดหุ้นจะเข้าสู่ขาลงและดิ่งรุนแรงเหมือนเมื่อครั้ง Black Tuesday ในปี 1929 และ Black Monday ในปี 1987
ทั้งนี้ Robert Shiller ยังเตือนนักลงทุนด้วยว่า อย่าให้น้ำหนักกับกำไรที่หวือหวาของบริษัทจดทะเบียน แต่ควรให้ความสำคัญกับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นในระยะยาว อีกทั้งผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น 25% ต่อไตรมาส ก็ไม่ได้สะท้อนภาพที่แท้จริงของดัชนีหุ้นในระยะยาว ซึ่งบทเรียนในประวัติศาสตร์ก็บ่งบอกชัดเจน โดยเฉพาะก่อนเกิดวิกฤต ปี 1929 และ 1987 นั้น ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับที่ดีมาก แต่มูลค่าของผู้ถือหุ้น หรือ Equity กลับไม่ได้ดีตามไปด้วย
Robert Shiller กล่าวด้วยว่า ในปัจจุบันนี้นั้น กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาจากผลพลอยได้ทางภาษีที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลดภาษีธุรกิจ 35% ลงเหลือ 21%
“ในความคิดของผมคือ ขณะนี้นโยบายต่างๆ ของเราเข้าข่ายทำเกินความจริงหรือไม่ อย่างเช่น การจุดประเด็นสงครามการค้าโลก ชาวอเมริกันไม่คิดถึงเรื่องนี้กันบ้างเลยหรือ ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้แต่ว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของตลาดหุ้นอเมริกา”
Robert Shiller ยังยืนยันแนวคิดและความเชื่อของเขาด้วยว่า นโยบายการลดภาษีธุรกิจจะไม่ยั่งยืนตลอดไป ซึ่งถ้ากลับมาใช้อัตราภาษีเดิมเมื่อไหร่ รายได้ของบริษัทจดทะเบียนจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ซึ่งจะมีผลกับมูลค่าและราคาหุ้นในที่สุด
ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันว่า Robert Shiller เป็นนักเศรษฐศาสตร์ยุคใหม่ที่มีแนวคิดแปลกแหวกแนวไปจากทฤษฎีเดิมๆ แต่เขาก็มีผลงานที่เลื่องลือในการวิเคราะห์มูลค่าของตลาดหุ้น จนกลายเป็นทฤษฎีใหม่ คือ Cyclically Adjusted Price to Earning Ratio หรือ CAPE ที่รับการขนามว่า “Shiller CAPE” หรือ “Shiller PE” ซึ่งเป็นนิยามอัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นล่าสุด กับค่าเฉลี่ยของกำไรสุทธิหลังหักด้วยอัตราเงินเฟ้อ 10 ปีย้อนหลัง ที่มักได้ผลสรุปว่าตลาดหุ้นอเมริกา ณ ระดับราคานั้นๆ เป็นระดับที่ยากจะทำกำไรได้อีกต่อไป (แต่ระยะหลังมักปรากฏว่าทฤษฎี CAPE ของ Robert Shiller มักสวนทางกับการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์รายใหญ่ เช่น เมอร์ริล ลินช์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในมหาวิทยาลัยชั้นนำอเมริกาหลายราย)