Interview: คุณสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์
ทิศทางแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดเงิน-ตลาดทุนลดความกังวลและลดความกดดันไปเปลาะหนึ่ง เพราะช่วยให้คาดการณ์ต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น สิ่งที่ต้องเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไปคือ สงครามการค้าอเมริกา-จีน ที่อาจส่งผลต่อราคาสินค้าและเงินเฟ้อในอเมริกา คือปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นจะเฟิร์มและน่าสนใจมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์อื่น เพียงแต่ให้เน้นลงทุนในหุ้นโดยมุ่งที่ผลตอบแทนการลงทุนหรือเงินปันผล มากกว่าหวังได้เป็นกอบเป็นกำจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น พร้อมแนะหุ้น 3 กลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร และกลุ่มทางการแพทย์ ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวดร็อปลงไปในไตรมาส 3 คาดว่าไฮซีซั่นคือไตรมาส 4 น่าจะฟื้นตัว ด้านหุ้นรับเหมาก่อสร้าง นิคมอุตฯ มีโอกาสดีขึ้นหลังการเลือกตั้งที่ทิศทางการเมืองเริ่มชัดเจน
อเมริกาตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยจาก 2% เป็น 2.25% และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีด้วย มองเรื่องนี้อย่างไร
อันดับแรกต้องบอกว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดครั้งนี้เป็นการขึ้นเป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าตลาดการเงินไม่ได้มีภาวะตื่นตระหนก ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐมีการปรับขึ้นไปเล็กน้อย ถ้าดูผลตอบแทนอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นตัวที่ยาวหน่อยก็มีประมาณ 3% โดยรวมถ้ามองไปข้างหน้า ตลาดการเงินคาดว่าจะขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเดือนธันวาคม และมีโอกาสขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า รวมๆ คือธนาคารกลางสหรัฐจะมีขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 4 ครั้ง รวมเป็นปรับขึ้น อีกประมาณ 1% ถ้าธนาคารกลางสหรัฐไม่ได้เปลี่ยนท่าทีหรือการส่งสัญญาณที่ทำให้รู้สึกว่าจะขึ้นมากกว่านี้ เร็วกว่านี้
ดังนั้น จากนี้ไปทิศทางของตลาดหุ้นที่เหลือของปีนี้จะไม่มี แรงกดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย คือแรงกดดันคงจะผ่อนไป เพราะธนาคารกลางสหรัฐมีการขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 8 ครั้ง ขึ้นมาครั้งแรกเดือนธันวาคม 2015 รวม 8 ครั้ง ขึ้นมาจาก 0.25% เป็น 2.25% เรียกว่าอยู่ในทิศทางที่ตลาดหุ้นก็เป็นขาขึ้น เพียงแต่ในระหว่างทางมีการส่งสัญญาณต่างๆ ทำให้ตลาดมีความกังวลเป็นระยะๆ แต่ถ้ามาดูตัวอัตราดอกเบี้ยก็ยังขึ้นไปได้อีก ที่ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว ซึ่งถ้าขึ้นไปอีก 4 ครั้ง ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นไปอยู่ที่ 3.25% เรียกว่าไม่ต่ำแล้ว ความพยายามที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับดอกเบี้ยขึ้นมาเพื่อให้ดอกเบี้ยไม่ต่ำเกินไป เพื่อให้มีเสถียรภาพในตลาดการเงินนั้น อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.25% ก็เป็นระดับที่สมเหตุสมผล แต่ถ้าขึ้นไปกว่านี้ต้องดูปัจจัยทางด้านเงินเฟ้อหรือความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
เพราะฉะนั้นอิทธิพลหรือปัจจัยกดดันดอกเบี้ยสหรัฐที่มีการปรับขึ้นมาตลอดก็คงจะเบาไป ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าน่าจะขึ้นในเดือนธันวาคม น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะกดดันตลาดมากนัก ก็อาจจะมีจุดเดียวที่นักลงทุนพยายามเฝ้าติดตามและสังเกตการณ์ คือเรื่องของนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่สหรัฐมีการเก็บภาษีนำเข้าขึ้นมา 250,000 ล้านเหรียญ เนื่องจากการเก็บในชุดหลังนี้น่าจะมีสินค้าที่เกี่ยวกับอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะมีผลให้เกิดราคาสินค้าแพงขึ้นหรือเงินเฟ้อสูงขึ้น ตรงนี้ยังไม่ได้พูดถึงกันมากนักในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ เพราะฉะนั้นถ้าจะตาม ต้องตามในมุมมองนี้ว่ามีความกังวลเพิ่มขึ้นหรือไม่ ราคาสินค้าแพงขึ้นหรือไม่
เรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของอเมริกาหรือฝั่งยุโรปที่มีมาตรการ QE ต่างๆ คาดว่าน่าจะหมดไป ปัจจัยต่างๆ จะเปลี่ยนไปพอสมควรเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นแบบนี้นักลงทุนไทยจะปรับตัวรับมือเรื่องนี้อย่างไร
คิดว่าเรื่องอิทธิพลของของดอกเบี้ยถูกและสภาพคล่องจะลดลงไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ลดแบบฉับพลัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีคือทำให้ตลาดหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนได้ดีเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น นักลงทุนก็ยังเลือกลงทุนในตลาดหุ้นได้ เพียงแต่ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้สูงเหมือนตลาดหุ้นไทยช่วง 10 ปีที่แล้วดัชนีที่ต่ำกว่านี้เยอะ หุ้นในหลายบริษัทก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ การจะให้ผลตอบแทนสูงเหมือนในอดีตคงจะทำได้ยาก เพียงแต่ผลตอบแทนที่นักลงทุนมองคือ 8-10% ต่อปี อันนี้เป็นลักษณะที่เรียกว่าอนุรักษนิยม ไม่ต้องเข้มข้นกับการลงทุนจนเกินไป ไม่ต้องเครียดมากนัก เพราะการลงทุนปกติจะมีความผันผวน ก็อาจเกิดความเครียดขึ้นได้ เงินปันผลที่ตลาดหุ้นให้โดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 3% ถ้าเราไปหาหุ้นที่ปันผลสูงก็อาจจะได้ 5-6% ตรงนี้คิดว่าเป็นจุดที่นักลงทุนควรมองและให้ความสำคัญ คือให้ความสำคัญกับผลตอบแทนที่จับต้องได้มากขึ้น จากที่ในอดีตนักลงทุนอาจจะได้ผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับขึ้นของราคาหุ้น ตรงนี้คงจะยังมีให้ แต่ต้องมีจังหวะที่เอื้อด้วย เพราะถ้าเราดูในปีนี้ดัชนีหุ้นไทยก็ยังตึงอยู่ ไม่ได้กลับไปสูงกว่าสิ้นปีที่แล้วที่ประมาณ 1,753 เรียกว่ายังตึงอยู่ แต่ว่าหุ้นปันผลก็ยังได้ปันผลอยู่
หมายความโอกาสที่จะได้กำไรจาก capital gain คือซื้อหุ้นมา 1 บาท หวังจะขาย 10 บาทนั้น จะมีโอกาสน้อยลง ต้องไปเน้นเรื่องการปันผลเป็นหลักมากกว่า
ใช่ครับ ต้องดูผลกำไร ดูทิศทางธุรกิจ ต้องเข้าใจวัฏจักรของธุรกิจแต่ละบริษัทมากขึ้น เราอาจจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า 8% แต่ต้องมีการทำการบ้านกับการเลือกหุ้นมากขึ้น เพราะจริงๆ ปีนี้หุ้นหลายตัวให้ผลตอบแทนสูงตั้งแต่ต้นปี แต่คงไม่ได้เป็นภาพรวมของดัชนี
มีคำแนะนำสำหรับช่วง 3 เดือนที่เหลือมั้ยว่าควรจะดูหุ้นอะไรดี แบบไหนดี
คิดว่า 3 เดือนสุดท้าย ตลาดไทยคงมีโอกาสเกิดการแกว่งตัวขึ้น เพราะเรามีปัจจัยภายในประเทศเป็นตัวหนุนเศรษฐกิจโดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นคิดว่าหุ้นขนาดใหญ่ยังมีความน่าสนใจ หุ้นตอนนี้ที่มีราคาไม่แพงมากคือในกลุ่มของพลังงานที่มีหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นธนาคารที่มีเงินปันผลดีก็ลงทุนได้ อีกกลุ่มที่กลับมาดีในปีนี้คือกลุ่มด้านการแพทย์ ก็จะเป็น 3 กลุ่มใหญ่ที่เราดูผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี เรียกได้ว่ากลุ่มทางการแพทย์และพลังงานจะเด่นขึ้นมา ส่วนธนาคารกำลังตามมา
แต่จะมีกลุ่มที่เรียกได้ว่ายังขึ้นมาน้อยและแนวโน้มน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ค้าปลีก กลุ่มนี้ตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นยังขึ้นไม่มาก ส่วนหนึ่งนักลงทุนยังรอว่าเศรษฐกิจและการบริโภคทั่วๆ ไปจะฟื้นตัวจริงหรือไม่ ก็กำลังค่อยๆ รับปัจจัยหนุนจากเรื่องของมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลที่จะพยายามเข้ามาช่วยผู้บริโภคในระดับกว้าง ไม่ได้กระจุกที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะมีข่าวร้ายเข้ามาในเรื่องของนักท่องเที่ยวที่จะลดลงไปบ้างในช่วงไตรมาส 3 นี้ แต่ถ้าดูโดยรวมคิดว่าในช่วงไตรมาส 4 น่าจะเป็นไตรมาสที่มีโอกาสฟื้นตัวเพราะภาครัฐคงมีการจัดการความชัดเจนต่างๆ ในกลุ่มของการท่องเที่ยวคงจะกลับมา
สุดท้ายจะเป็นกลุ่มที่ต้องมองไปถึงปีหน้าในเรื่องของการเลือกตั้ง ซึ่งจะแล้วได้ผลประโยชน์จากนโยบายภาครัฐที่เน้นการลงทุนจาก EEC หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ EEC โดยตรงคงจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมหรือรับเหมาก่อสร้าง แต่อยากจะเน้นไปที่นิคมอุตสาหกรรมมากกว่าเพราะค่อนข้างเห็นชัดเจนว่ามีโอกาสที่จะได้รับจากการขายที่ดินหรือนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาเช่าโรงงาน ซึ่งทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นหลังมีการเลือกตั้งเรียบร้อย เพราะนักลงทุนมองเห็นนโยบายที่ชัดเจนขึ้น
ถ้าจะให้กรอบดัชนี มองว่าจากนี้ไปดัชนีหุ้นจะเป็นอย่างไร
คิดว่ากรอบคงจะยกขึ้น เพราะฐานของดัชนีเรียกได้ว่ายกขึ้นมาตลอดตั้งแต่ 1,550 หรือ 1,580 ที่ลดลงไปและขึ้นมารอบล่าสุด เรียกได้ว่าฐานอยู่ประมาณ 1,650 หรือ 1,680 ล่าสุดที่ผ่านเรื่อง Trade War หุ้นที่ลงไปก็เพิ่งฟื้นขึ้นมา ตอนนี้มองว่าตัวฐานคงลงไม่ลึกเท่าไหร่ เต็มที่ 1,680 อยู่ในกรอบด้านล่าง กรอบด้านบนคิดว่ามีลุ้นที่จะเปิดขึ้น คือมองไปจุดสูงสุดเก่าของปีนี้ 1,850
ถ้ามีนักลงทุนต้องการติดต่อคุยกับคุณสุกิจ สามารถติดต่อได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ใช่ไหม
ใช่ครับ ช่วงนี้การติดตามข้อมูลแบบใกล้ชิดยังจำเป็นอยู่ สามารถโทรไปได้ที่ฝ่ายวิจัยการลงทุน 02-949-1035