Interview: คุณสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยการลงทุน บล.ไทยพาณิชย์
บล.ไทยพาณิชย์ชี้...ความคาดหวังของนักลงทุนในตลาดหุ้นยังคงเป็นบวก แต่ความผันผวน ความไม่แน่นอนช่วงปลายปีต่อเนื่องต้นปีหน้า เป็นปัจจัยทำให้ต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น ถือเป็นจังหวะปรับพอร์ต เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มดี พร้อมแนะหุ้นเด่น น่าลงทุน คือหุ้นกลุ่มค้าปลีก กลุ่มสื่อสาร และการท่า ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาฯต้องจับตากฎ LTV ว่าจะกระทบมากน้อยแค่ไหน
1 เดือนผ่านไป ตามที่คุณสุกิจมองตลาดหุ้นไว้ก็ไม่ได้ผิด แต่เหตุการณ์เกิดเร็วกว่าที่เราคิดหรือเปล่า
คิดว่าการลดลงของตลาดหุ้นในเดือนตุลาคมถือว่าแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าแรงกว่าที่คิดเอาไว้ ซึ่งไม่ได้เกิดแค่เฉพาะในตลาดไทย รอบนี้มีที่สหรัฐอเมริกาและค่อนข้างแรง
ผมให้สถิตินิดนึงเพื่อให้เห็นภาพว่าถ้าเรามองเดือนตุลาคมที่ยังไม่จบเดือน แต่ว่าการลดลงของตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมถือว่าเป็นเดือนที่แรง ผมดูแล้วในปีนี้มีเดือนที่แรงคือเดือนกุมภาพันธ์ แล้วก็เดือนตุลาคม แต่ถ้าย้อนไปปรากฏว่า ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 เพราะฉะนั้นกำลังจะสื่อว่า การลดลงในเดือนตุลาคมถือว่ามีน้ำหนัก หรือว่ามีความรุนแรงที่สูงมาก อันนี้ก็น่าจะเป็นสัญญาณหนึ่ง สำหรับผมก็คือเป็นสัญญาณที่มาเตือนนักลงทุนว่าความผันผวนยังมีอยู่ในตลาด ควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน และรอบนี้มีปัจจัยหนึ่งที่เราเคยคุยกันเดือนที่แล้ว ถ้าเราจะนึกถึงปัจจัยที่จะมากระทบหุ้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ Sentiment หรือเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก เรื่องของสงครามการค้า หรือเรื่องของดอกเบี้ยก็เป็นเรื่องที่เรากังวลกัน
แต่ว่ารอบนี้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาลดลง ส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือผลประกอบการ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการประกาศผลประกอบการ สิ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตคือว่า จริงๆ ผลประกอบการที่ออกมาของในสหรัฐอเมริกาโดยรวมๆ ออกมาดี แต่บางบริษัท อาจจะออกมาดีน้อยกว่าที่คาด หรือแย่กว่าที่คาดเล็กน้อย แต่สิ่งที่เขาเห็นคือแรงขายหุ้นที่ผิดคาด แรงมากๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นจุดที่อยากจะตั้งต้นเอาไว้สำหรับติดตามตลาดหุ้นจากนี้ไปในอีก 1 เดือนข้างหน้า ถ้าเราจะมาคุยกันอีกรอบหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ขอตั้งประเด็นไว้ก่อนว่า นักลงทุนเองเริ่มมีความระมัดระวังมากขึ้นกับเรื่องผลประกอบการ เพราะฉะนั้นถ้ากลับไปที่เคยแนะนำเอาไว้ ก็คือต้องให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัทที่เรากำลังจะลงทุน รวมถึงระวังความผันผวนของตลาด และคงจะต้องเลือกลงทุนในหุ้นที่มีเงินปันผลรองรับไว้
ดังนั้น การลงทุนในช่วงนี้ต้องบอกว่าคงไม่ง่าย คงไม่ได้สมูทเท่าไหร่ ไม่ราบเรียบเท่าไหร่ ก็ต้องยอมรับว่ามีความผันผวนเพิ่มขึ้นแน่นอน
มองว่าจากนี้ปัจจัยลบมีมากกว่าปัจจัยบวก
ผมอาจไม่ได้ชี้ว่าเป็นลบหรือว่าเป็นบวก แต่ชี้ว่ามันมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ก็คือเรื่องของผลประกอบการ เรากำลังอยู่ในช่วงการเติบโต เดี๋ยวจะกังวลกันเกินไป คือเรากำลังอยู่ในช่วงการเติบโต คิดว่านักลงทุนในตลาดหุ้นเขามองไว้แล้วว่าปีนี้เราเติบโต แต่ตอนนี้สิ่งที่นักลงทุนในตลาดกำลังมองไปคือปีหน้า ว่าเราจะโตอย่างไรบ้าง ถ้าทุกท่านฟังนักเศรษฐศาสตร์ออกมาให้ความคิดเห็นเศรษฐกิจในปีหน้า เชื่อว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูลว่าปีหน้าน่าจะเติบโตชะลอตัวลงจากปีนี้ ตรงนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในพอร์ตการลงทุน ก็คือถ้านักลงทุนเริ่มเห็นหุ้นหรือกลุ่มอุตสาหกรรมไหนที่ปีหน้ามีแนวโน้มการเติบโตน้อยกว่าปีนี้หรือว่าชะลอตัวลง ก็อาจจะมีการปรับพอร์ต คือขายหุ้นออกมา ตรงนี้จะเป็นจุดที่ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ก็จะเป็นช่วงหนึ่งที่เราเห็นความผันผวน ซึ่งเป็นความผันผวนที่เกิดจากการปรับพอร์ตเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องทิศทางของการเติบโตในปีหน้าที่มีแนวโน้มการเติบโตลดลง
คือมองว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ จะเป็นตัวที่ฉุดหุ้น
ใช่ แต่ว่ารวมๆ ยังดี ซึ่งนักลงทุนก็มองว่ายังดี คือตลาดหุ้นเราอยู่บนความคาดหวัง ซึ่งความคาดหวังของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นตอนนี้ยังเป็นบวกอยู่ แล้วผลประกอบการก็ยังเป็นบวกอยู่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าผิดหวัง แต่ถ้าผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ออกมาแย่กว่าคาด เราคงต้องยอมรับว่าจากนี้ไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่หุ้นจะมีความผันผวนจากเรื่องผลประกอบการ แต่ว่าจะเป็นจุดที่ดีสำหรับนักลงทุนบางกลุ่มหนึ่งคือนักลงทุนที่ยังมีเงินสดอยู่ สองคือนักลงทุนที่ลงทุนมาสักพักแล้ว ก็น่าจะเป็นจังหวะของการปรับพอร์ตเพื่อลงทุนต่อเนื่องไปยังปีหน้าแล้ว เพราะจริงๆ เมื่อมาถึงตรงนี้ เราคงไม่ต้องมองแล้วล่ะว่าสิ้นปีนี้จะเป็นอย่างไร เพราะเหลือเวลาน้อยมาก และทิศทางการเติบโตของธุรกิจต่างๆ คงไม่ได้เปลี่ยนมากแล้ว เพราะใกล้ถึงสิ้นปีแล้ว ก็คงเป็นจุดที่เริ่มต้นการมองใหม่ๆ ว่าปีหน้าเราควรจะจัดพอร์ตอย่างไรให้เหมาะสมกับทิศทางของธุรกิจและเศรษฐกิจในปีหน้า
คนที่ลงทุนไปแล้ว ซื้อหุ้นไปแล้ว ควรถือเอาไว้ก่อนหรือไม่ หรือจะมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการพอร์ตของเขาอย่างไรดี
ช่วงนี้คงเป็นจังหวะของราคาหุ้นที่เรียกได้ว่าโอกาสที่จะลงไปกว่านี้ลึกๆ คงน่าจะลดลง เพราะหุ้นมีการปรับลงมาพอสมควรแล้ว ถ้ามองหุ้นไทย 1,600 จุด มองว่าเป็นระดับที่ไม่แพง เรียกว่าไม่แพงเลย ถ้ามองการลงทุนในระยะสัก 1 ปีข้างหน้า มองว่าไม่แพง เพราะฉะนั้นราคานี้เป็นราคาที่ถือไว้ ถ้ามีคำถามว่าปีนี้หุ้นจะกลับขึ้นไปอีกมั้ย คิดว่าน่าจะเป็นช่วงประมาณหลังประกาศผลประกอบการไปแล้วก็คือพฤศจิกายน รวมถึงผลการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาก็คือช่วงเดียวกันใกล้ๆ กัน พอเข้าสู่ช่วงพฤศจิกายนธันวาคมก็จะมีเรื่องของการเมือง เรื่องการเลือกตั้งเข้ามา ตรงนั้นก็เป็นจังหวะที่หุ้นจะมีการฟื้นตัว และการฟื้นตัวก็คงเป็นจังหวะของการที่จะตัดสินใจว่านักลงทุนที่มีหุ้นอยู่จะขายหรือจะซื้อตรงนั้น ก็คงเป็นจุดที่เป็นโอกาสที่จะทำได้
บางคนใช้ทฤษฎี ให้อยู่นิ่งๆ ไว้ก่อน ไม่ขายก็ไม่ขาดทุน
อาจจะไม่ได้ การลงทุนอาจจะอยู่นิ่งได้ แต่ตอนนี้คนที่จะได้เปรียบก็คงจะเป็นนักลงทุนที่ถือหุ้นไว้ในตอนที่ราคาถูก เพราะความสำเร็จของการลงทุนคือการได้ต้นทุนที่เหมาะสม ถูก หรือว่าได้ลงทุนในบริษัทที่ดี ตรงนี้ก็คงจะอยู่นิ่งๆ ได้เพราะเชื่อว่าผลกระทบคงไม่มาก แต่ถ้าเกิดว่าบริษัทที่เราถืออยู่อาจจะเคยเป็นบริษัทที่ดี ต่อไปอาจไม่ดีก็ได้ ผมคิดว่าธุรกิจมีวัฎจักร ถ้าวัฎจักรของหุ้นที่เราถืออยู่ หรือธุรกิจที่เราถืออยู่ มันเปลี่ยนวัฏจักรเป็นชะลอตัว อันนั้นก็อาจต้องยอมรับว่าเราต้องเปลี่ยนตัวหุ้นที่ลงทุน
ช่วงที่ผ่านมา ออกอาการหลุด 1,600 จุด อย่างนี้มองอย่างไร
ระดับของอินเด็กซ์ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเปราะบาง ที่เราโดนจะมาจากฝั่งสหรัฐอเมริกา แล้วอย่างที่เรียนไปคือเรื่องผลประกอบการที่ยังประกาศไม่หมด เพราะฉะนั้นในช่วงนี้อย่างไรก็มีความเสี่ยง เพียงแต่ว่าระดับของราคาที่ลงมาถึง 1,600 จุด มองว่าไม่แพงแล้ว ออกไปทางด้านถูกด้วยซ้ำ ตรงนี้ก็เป็นจุดที่อย่างน้อยทำให้เราสบายใจได้ว่า ในเชิงของการฟื้นตัวของหุ้นที่จะเกินกลับมา 1,600 จุดมันไม่ได้ยาก ถ้าลองสังเกตดูในช่วงที่มีการประกาศในเรื่องของหุ้นจาก 1,680 ไป 1,760 ภายในเวลาไม่กี่วันก็เกิดขึ้นได้ 5% จริงๆ แต่ถ้าถามว่ามีเม็ดเงินพร้อมที่จะกลับเข้ามาในตลาดมั้ย ผมคิดว่าลดลงไป ช่วงนี้อย่างไรยังต้องฝากความหวังไว้กับเงินที่จะลงทุนใน LTF อยู่ เพราะโดยส่วนใหญ่จะเป็นการตัดสินใจซื้อช่วงปลายปี ก็น่าจะมีเม็ดเงินส่วนหนึ่งเข้ามาช่วยพยุงตลาดเอาไว้
สำหรับ LTF จริงๆ จุดประสงค์ส่วนหนึ่งที่ตั้งขึ้นมา เพื่อเอาไว้สร้างเสถียรภาพให้กับตลาด ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะเป็นจังหวะที่ดี
อย่างกอง TFF หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตจะช่วยพยุงตลาดหุ้นได้มั้ย
ตรงนั้นจะเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่ง ถ้าเราพูดถึงหุ้น คงจะต้องมาที่ LTF
จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติเทขายเยอะมาก
คิดว่าถ้ามองภาพรวมๆ นักลงทุนต่างชาติขายในตลาดเกิดใหม่เกือบทุกประเทศในอัตราที่ใกล้ๆ กัน หุ้นไทยจะขายมากขายน้อยอยู่ที่จังหวะของตลาด ของเราอาจจะมีหุ้นประเภทโภคภัณฑ์ค่อนข้างเยอะ เวลาราคาน้ำมันลง หุ้นโภคภัณฑ์จะโดนขายเยอะหน่อย อันนี้ก็คงจะเป็นเหตุผลหนึ่งของช่วงที่ผ่านมาด้วย ราคาน้ำมันมีการปรับลงมา ซึ่งถือว่าผิดคาดเพราะก่อนนี้นักลงทุนอาจจะมีการคาดการณ์กรณีของซาอุดีอาระเบียกับสหรัฐอเมริกา ว่าถ้ามีการคว่ำบาตร ทางซาอุดีอาระเบียอาจจะมีการใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ปรากฏว่าซาอุดีอาระเบียบอกอาจจะไม่ใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือ แล้วตัวเลขของทางฝั่งพื้นฐานน้ำมันเองออกมาก็เรียกได้ว่ามีปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น ช่วงนี้ซัพพลายเพิ่มขึ้น ราคาก็เลยตกลงมาค่อนข้างแรง ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นพลังงานกดดันตัวดัชนีด้วย
บล.ไทยพาณิชย์ยังยืนยันเป้าหมายของดัชนีจนถึงปลายปีนี้ที่ระดับไหน
อย่างที่เคยเรียนไปเมื่อคราวที่แล้ว ปีนี้เราเห็นดัชนีที่เคยสูงสุด 1,850 จุด คิดว่าด้วยพื้นฐานของหุ้นไทย ผลประกอบการในปีนี้และปีหน้ารวมกันยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น เพราะฉะนั้นก็คงตั้งความหวัง ตั้งเป้าหมายไว้ว่าก็คงจะอยู่แถวๆ เดิม
การที่หุ้นลงมาที่ระดับ 1,600 จุด แนะนำว่ามีหุ้นกลุ่มไหนตัวไหนที่น่าจับตา หรือน่าลงทุนบ้าง
ตอนนี้กลุ่มที่เป็นเรื่องของการบริโภคที่ผลประกอบการกำลังฟื้นตัว นั่นคือ 1.หุ้นกลุ่มค้าปลีก 2. คือหุ้นกลุ่มสื่อสาร เป็นหุ้นที่มีเงินปันผลรองรับ เป็นหุ้นที่ผันผวนน้อยกับภาวะเศรษฐกิจ ส่วนกลุ่มที่ 3. คือหุ้นการท่า ราคาหุ้นยิ่งลงมา ก็ยิ่งเป็นโอกาสซื้อ เพราะธุรกิจการท่าก็เริ่มมีการฟื้นตัวแล้ว อาจจะไม่ได้แรงเหมือนกับช่วงที่เคยเป็น แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีความปลอดภัย
สรุปคือหุ้นในกลุ่มที่เป็นธุรกิจที่ปลอดภัย ธุรกิจที่มีความผันผวนน้อย คงน่าจะมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะคงยากที่เราจะไปคาดหวังกับการเติบโตที่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้
หุ้นที่ต่างชาติขาย ตอนนี้ขายหมดหรือยัง
คงไม่หมดหรอก เพราะต่างชาติเข้ามาที่หุ้นไทยค่อนข้างเยอะ จะให้ขายหมดเลยคงจะยังไม่ แต่ว่าการขายคงมีจังหวะ ขายมากขายน้อย ก็คงจะเป็นตามภาวะมากกว่า
หุ้นไหนควรหลีกเลี่ยง
ตอนนี้เท่าที่ดูธุรกิจอาจจะไม่มีความแน่นอนอยู่ อาจจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เรื่องหลักๆ คงมาจากเรื่องการจัดการ กำลังมีการพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนเกณฑ์อยู่ ตรงนี้ยังมีความไม่แน่นอน อาจจะไม่ถึงกับต้องหลีกเลี่ยง แต่คงต้องจับตาว่ากฎเกณฑ์ใหม่ที่ออกมาแล้วจะมีผลอย่างไรบ้าง ตรงนี้เป็นกลุ่มที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ถ้าจะติดต่อปรึกษาเรื่องหุ้นกับ บล.ไทยพาณิชย์จะติดต่อในช่องทางไหน
โทร.มาที่เบอร์กลาง บล.ไทยพาณิชย์ แล้วต่อ 1035