บล.ไอร่า ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนพฤศจิกายนเป็นขาขึ้น ให้กรอบ 1,590–1,770 จุด อ่านแนวโน้มข้อพิพาทสหรัฐ-จีนเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น แม้ความไม่แน่นอนการการเจรจานอกรอบ G20 ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนจะกดดันอยู่บ้าง แต่ปัจจัยในประเทศการเรื่องประมูลโครงการรถไฟฯ เชื่อม 3 สนามบินจะเป็นตัวช่วย
จากที่ก่อนหน้านี้ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ออกมาเปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) โดยผลสำรวจพบว่านักลงทุนกังวลผลกระทบนโยบายทางการค้าและนโยบายทางการเงินของสหรัฐ
ดัชนีความเชื่อมั่นที่ลดลงดังกล่าว มาจากการปรับตัวลดลงของดัชนีดาวน์โจนส์ที่มีการปรับฐานลดลงประมาณ 10% ขณะที่นักลงทุนกังวลผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ และ Bond Yield 10 ปี ที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า 3% รวมถึงการติดตามท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐต่อนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ
“ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และความเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจของไทยที่ สศค. คาดการณ์ว่า GDP Growth ยังคงอยู่ที่ระดับ 4.5% แม้ว่าตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายนจะปรับตัวลดลง 5.2% เป็นเดือนแรกก็ตาม โดยนักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าการเจรจานโยบายทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเป็นปัจจัยความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนติดตาม
นอกจากนี้ ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ นโยบายลดภาษีบุคคลธรรมดา การออกมาตรการกองทุนพยุงหุ้นของสมาคมหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องของจีน ภาวะเศรษฐกิจของยุโรปโดยเฉพาะกรณีคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ประกาศไม่เห็นชอบร่างงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี ราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวลดลงแม้ว่ามาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐ ซึ่งจะจำกัดการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านเข้าสู่ตลาดน้ำมันดิบโลกก็ตาม”
ทั้งนี้ สิ่งที่จับตามองกันที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งจะมีผลต่อท่าทีการเจรจาการค้าภาษีระหว่างสหรัฐ กับ จีนต่อไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ บล.ไอร่า มองว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้ หุ้นไทยจะอยู่ในแดนบวกมากกว่าแดนลบ
นางจิตรลดา เลขาพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า (AS) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น โดยให้กรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1,590-1,770 จุด หากสามารถผ่านแนวต้านแรกที่ระดับ 1,702 จุดได้ จากประเด็นบวกจากต่างประเทศ อาทิ สถานการณ์ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน คาดมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีความไม่แน่นอนหากการเจรจานอกรอบในการประชุม G20 ระหว่างผู้นำ 2 ประเทศ ไม่สามารถต่อรอง ตกลงกันได้ คาดว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะกลับมากดดันภาพรวมตลาดอีกครั้ง และคาดว่ามีโอกาสที่สหรัฐ จะเก็บภาษีนำเข้า วงเงินรอบใหม่ อีก 267,000 ล้านบาท
นอกจากนี้คาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ภายใต้ความกังวลปริมาณผลิตน้ำมันจากผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น รัสเซีย สหรัฐ และกลุ่มโอเปก ที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ความต้องการมีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นในประเทศ ให้จับตาการขายทำกำไรหลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 แล้วเสร็จในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้
ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง โดยยอดขายรวมนับตั้งแต่ต้นปีจนสิ้นเดือนตุลาคมสูงกว่า 274,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดได้รับการชดเชยเข้ามาบ้างจากเม็ดเงิน LTF คาดทยอยเข้ามามูลค่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2561 และประเด็นการยื่นซองประมูลโครงการรถไฟฯ เชื่อม 3 สนามบิน วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 จะทำให้มีแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
นอกจากนี้ยังคงต้องจับตาการประชุม กนง. ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 หลังมติล่าสุดเสียงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มจาก 1 เสียง เป็น 2 เสียงส่วนเศรษฐกิจในประเทศคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ฟื้นตัวจากช่วง High Season ของทุกๆ ปี
ส่วนสถานการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เองก็มีท่าทีที่จะเร่งพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังอัตราเงินเฟ้อ และ Bond Yield สหรัฐ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฟดจะมีการประชุมในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 1 ครั้งหลังประชุมวันที่ 7– 8 พฤศจิกายน 2561 แล้ว คือ การประชุมวันที่ 18–19 ธันวาคม นี้ และมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อาจส่งผลต่อการขึ้น-ลงของราคาน้ำมัน
ดังนั้นจึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท กำหนดยื่นซอง 12 พฤศจิกายน นี้ เช่น ITD, CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น รวมทั้งหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่ได้ประโยชน์ภายใต้ความคืบหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC คาดช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุนจากต่างชาติ และคาดความต้องการที่ดินในนิคมฯ มีแนวโน้มดีขึ้น หุ้นที่น่าสนใจ เช่น AMATA และ WHA เป็นต้น
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มธนาคาร ก็ได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อ และภายใต้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อ Net Interest Margin ปรับเพิ่มขึ้น หุ้นที่น่าสนใจ เช่น BBL และ KTB ซึ่งสินเชื่ออิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว สัดส่วนสูงถึง 88% และ 85% ตามลำดับ รวมไปถึงหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มกลับมาเติบโตต่อเนื่องในปี 2562 ได้แก่ BBL, CHG, DTAC, PTTEP, SCC และ SUN เป็นต้น